xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์ปลดหัวหน้านักยุทธศาสตร์ขวาจัด หลังถูกโดดเดี่ยวฐานไม่ประณามพวกเหยียดผิว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สตีฟ แบนนอน หัวหน้านักยุทธศาสตร์ของโดนัลด์ ทรัมป์
รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯในวันศุกร์(18ส.ค.) ปลด สตีฟ แบนนอน พ้นจากหัวหน้านักยุทธศาสตร์ของเขา ในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งระดับสูงในทำเนียบขาวหนล่าสุด ความเคลื่อนไหวถอดบุคคลทรงอิทธิพลและเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีมุมมองทางการเมืองขวาจัด ขณะที่ผู้นำรายนี้กำลังถูกโดดเดี่ยวทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ กรณีไม่ประณามกลุ่มชาตินิยมขวาจัดเชิดชูคนผิวขาว ที่ชุมนุมกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเกิดความรุนแรงบานปลายจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ

แบนนอน ผู้เป็นกำลังที่อยู่เบื้องหลังนโยบายอันเป็นที่ถกเถียงบางส่วนของทรัมป์ ในนั้นรวมถึงคำสั่งห้ามชาวมุสลิม 7 ชาติเดินทางประเทศ มีปัญหากระทบกระทั่งกับกลุ่มก๊กสายกลางภายในทำเนียบขาว ที่เต็มไปด้วยความแตกแยก จากการชิงดีชิงเด่นและแทงข้างหลังกัน

การปลด แบนนอน เกิดขึ้นในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอยู่ในตำแหน่งมาได้ 7 เดือน กำลังถูกโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อความเห็นของเขาเกี่ยวกับเหตุปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกลุ่มผิวขาวสุดโต่งกับฝ่ายต่อต้านที่เมืองชาร์ลอตส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว

นอกเหนือจาก ทรัมป์ จะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากสมาชิกคนดังภายในพรรครีพับลิกัน เหล่าผู้นำภาคธุรกิจและพันธมิตรของสหรัฐฯในต่างแดนแล้ว เขายังเผชิญเสียงเรียกร้องมากขึ้นเรื่อยๆให้ปลด แบนนอน ออกจากตำแหน่ง

"จอห์น เคลลี ประธานคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวและ สตีฟ แบนนอน ยินยอมพร้อมใจว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของสตีฟ" ซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวระบุในถ้อยแถลงในวันศุกร์(18ส.ค.) เราขอบคุณการทำหน้าที่ของเขาและอวยพรให้เขาโชคดี"

แบนนอน วัย 63 ปี เป็นอดีตนายทหารประจำกองทัพเรือสหรัฐฯ และนายธนาคารโกลแมนแซคส์ ทั้งนี้ แบนนอน เคยล่อแหลมที่จะหลุดจากตำแหน่งนี้มาก่อน แต่ ทรัมป์ เลือกที่จะเก็บเขาไว้ เพราะหัวหน้านักยุทธศาสตร์รายนี้มีบทบาทสำคัญในชัยชนะศึกเลือกตั้ง 2016 ของเขาและได้รับการหนุนหลังจากเหล่าพวกผู้สนับสนุนส่วนใหญ่ของประธานาธิบดี

ความเคลื่อนไหวปลด แบนนอน อาจกัดเซาะคะแนนนิยมในหมู่ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงขวาจัดที่สนับสนุนทรัมป์ แต่มันอาจคลายความตึงเครียดภายในทำเนียบขาวและกับพวกผู้นำพรรค ในขณะที่แม้รีพับลิกันครองเสียงส่วนใหญ่ทั้งสองสภา แต่ที่ผ่านมาพวกเขากลับประสบปัญหาในการผ่านกฎหมายสำคัญๆ สืบเนื่องจากมีความแตกแยกภายในพรรคอย่างรุนแรง

ทรัมป์กลับหัวกลับหางสิ่งที่เคยถือมาตรฐานวาทกรรมทางการเมืองของอเมริกันอย่างขนานใหญ่ในวันอังคารที่ผ่านมา (15) จากการประกาศอย่างกราดเกรี้ยวใส่ผู้สื่อข่าวว่า กลุ่มต่อต้านฟาสซิสต์และกลุ่มชาตินิยมขวาจัดเชิดชูคนผิวขาวที่ปะทะกันในเวอร์จิเนียนั้น ผิดด้วยกันทั้งคู่ และทั้งสองข้างต่างก็มี “คนที่ดีมากๆ” อยู่

เหตุการณ์ปะทะรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นในเมืองชาร์ล็อตส์วิลล์เมื่อวันเสาร์ (12) ระหว่างการเดินขบวนของกลุ่มนีโอ-นาซีและกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “อัลต์-ไรต์” เพื่อประท้วงการย้ายรูปปั้นของนายพลโรเบิร์ต อี. ลี วีรบุรุษของฝ่ายใต้หรือฝ่ายที่ต้องการให้อเมริกามีทาสต่อไป เมื่อสมัยสงครามกลางเมือง แล้วมีผู้ประท้วงต่อต้านกลุ่มคนเหล่านี้เสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง หลังจากที่คนร้ายซึ่งเป็นพวกฝักใฝ่นาซี ขับรถพุ่งเข้าใส่ฝูงชนฝ่ายตรงข้าม

ปฏิกิริยาแรกของทรัมป์ถูกวิจารณ์จากพวกที่เรียกร้องให้ผู้นำสหรัฐฯ ประณามลัทธิเหยียดผิวและประณามพวกนิยมความรุนแรงอย่างชัดเจนว่า กำกวมและไม่ยอมตำหนิพวกนีโอ-นาซี แต่การที่เขากลับมายืนยันคำเดิมใหม่เมื่อวันอังคารว่า “ผิดทั้งสองฝ่าย” กระตุ้นให้เกิดทะเลเพลิงทางการเมืองที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในสมัยแห่งการตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์

คำพูดดังกล่าวเรียกเสียงตำหนิจากสมาชิกรีพับลิกัน เหล่าผู้บริหารของบริษัทต่างๆและพันธมิตรใกล้ชิดบางส่วน หรือแม้แต่พวกผู้สนับสนุนของเขาเอง ในนั้นรวมถึงรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ที่ยืนเคียงข้างทรัมป์มาตลอด

ภายใต้แรงกดดันจากสมาชิกรีพับลิกันสายกลางให้ไล่แบนนอนออก ทรัมป์ ปฏิเสธสนับสนุนเขาต่อสาธารณะในวันอังคาร(15ส.ค.) โดยบอกแต่เพียงว่า "เรารู้ได้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแบนนอน"

แหล่งข่าวใกล้ชิดกับการตัดสินใจ เปิดเผยว่าการปลด แบนนอน อยู่ในการพิจารณาของทรัมป์มาสักระยะแล้ว ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็มีการเปิดทางให้ แบนนอน ลาออกเอง "ท่านประธานาธิบดีตัดสินใจในเรื่องนี้มาได้ 2 สัปดาห์แล้ว"





กำลังโหลดความคิดเห็น