รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยอมเอ่ยตำหนิกลุ่มนีโอนาซี และคูคลักซ์แคลน (KKK) เป็น “อาชญากรและแก๊งอันธพาล” แล้วเมื่อวานนี้ (14 ส.ค.) ท่ามกลางกระแสสังคมที่กดดันให้ผู้นำสหรัฐฯ ต้องประณามคนเหล่านี้อย่างเปิดเผย หลังก่อเหตุม็อบชาตินิยมผิวขาวจนมีคนเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายรายที่รัฐเวอร์จิเนีย
ทางการสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นสอบสวนเหตุรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ (12) ที่เมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย หลังกลุ่มขวาจัดรวมตัวต่อต้านแผนการย้ายรูปปั้น โรเบิร์ต อี. ลี ผู้นำกองกำลังสมาพันธรัฐ ซึ่งเป็นวีรบุรุษของฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมืองอเมริกา จนนำมาสู่การปะทะกับพวกที่ไม่เห็นด้วย เรื่องนี้กลายเป็นแรงกดดันให้ ทรัมป์ ต้องเร่งหาวิธีจัดการกับพวกชาตินิยมขวาจัดที่เป็นฐานเสียงส่วนใหญ่ของเขาเอง
การที่ ทรัมป์ ไม่ตอบสนองเหตุประท้วงที่เมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์อย่างรวดเร็วพอ และยังหลีกเลี่ยงที่จะประณามกลุ่มชาตินิยมผิวขาวตรงๆ ทำให้เขาถูกติเตียนจากทุกกลุ่มการเมืองในสหรัฐฯ โดยล่าสุดผู้บริหารบริษัทยารายใหญ่ของโลกได้ขอลาออกจากคณะทำงานฝ่ายธุรกิจของทรัมป์ โดยยืนยันว่ารับไม่ได้กับความไม่อดทนซึ่งกันและกัน และลัทธิสุดโต่ง
นักวิจารณ์ชี้ว่า ทรัมป์ ใช้เวลานานเกินไปกว่าจะออกมาแถลงตอบโต้เหตุนองเลือด และยังตำหนิความรุนแรงและความเกลียดชัง “จากหลายๆ ฝ่าย” แทนที่จะประณามพวกไวท์ซูพรีเมซิสต์ซึ่งเป็นต้นตอของเหตุชุลมุน
พรรคเดโมแครตมองว่า ทรัมป์ ลังเลที่จะพูดในสิ่งซึ่งอาจทำให้เขาสูญเสียคะแนนนิยมจากกลุ่มชาตินิยมผิวขาวและพวกขวาจัด “alt-right” ซึ่งเป็นฐานเสียงที่เหนียวแน่น ขณะที่ ส.ว.รีพับลิกันหลายคนก็ออกมาตำหนิประธานาธิบดีด้วยถ้อยคำแรงๆ
ผ่านมา 48 ชั่วโมงหลังวิกฤตการณ์ในประเทศที่ท้าทายที่สุดสำหรับรัฐบาลปะทุขึ้น ทรัมป์ ก็พยายามแก้ตัวใหม่ โดยออกมาแถลงต่อสื่อที่ทำเนียบขาววานนี้ (14) ว่า “ลัทธิเหยียดผิวเป็นสิ่งชั่วร้าย และใครก็ตามที่ก่อความรุนแรงเพื่อมันก็จัดเป็นอาชญากรและอันธพาล รวมถึงพวก KKK, นีโอนาซี, ไวท์ซูพรีเมซิสต์ และกลุ่มสร้างความเกลียดชังอื่นๆ ที่เป็นปฏิปักษ์กับค่านิยมอเมริกัน”
“เราขอประณามการแสดงความเกลียดชัง ความดันทุรัง และความรุนแรงครั้งนี้ด้วยถ้อยคำรุนแรงที่สุด”
เจมส์ ฟิลด์ส อดีตทหารเกณฑ์วัย 20 ปีซึ่งคลั่งไคล้ลัทธินาซี ถูกจับด้วยข้อหาขับรถยนต์พุ่งชนผู้ชุมนุมที่ต่อต้านพวกชาตินิยมผิวขาว จนทำให้ ฮีทเธอร์ เฮเยอร์ ผู้ช่วยทนายความวัย 32 ปี เสียชีวิต และยังมีคนอื่นๆ บาดเจ็บอีก 19 ราย โดยศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว
ทรัมป์ยืนยันว่า ใครก็ตามที่แสดงพฤติกรรมเยี่ยงอาชญากรในการชุมนุมประท้วงที่ชาร์ล็อตต์สวิลล์จะต้องถูกดำเนินคดี
มาร์ก วอเนอร์ ส.ว.เดโมแครตจากรัฐเวอร์จิเนีย ให้สัมภาษณ์ต่อสถานีโทรทัศน์ MSNBC ว่า “เขาควรจะออกมาพูดแบบนี้ตั้งแต่วันเสาร์ (12) ผมผิดหวังที่เขาใช้เวลาตั้ง 2 วันกว่าจะคิดได้”
ด้านผู้นำชุมชนในเมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์ก็ระบุว่า “ไม่ประทับใจ” กับคำแถลงล่าสุดของ ทรัมป์
“ต้องรอให้คนในพรรครีพับลิกันวิจารณ์ก่อนหรือเขาถึงจะพูด และปรับเข็มทิศศีลธรรมที่ตัวเขาเองไม่เคยมี” ดอน แกเธอร์ส ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลอนุสรณ์สถานภายในเมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์ ระบุ
ล่าสุด ผู้นำสหรัฐฯ ได้ทวีตข้อความตอบโต้นักวิจารณ์อีกครั้งเมื่อวานนี้ (14) “ผมออกมากล่าวเพิ่มเติมเรื่องที่ชาร์ล็อตต์สวิลล์ แต่ก็ตระหนักได้อีกครั้งว่าพวก #สื่อจอมโกหก จะไม่มีวันพอใจ... แย่จริงๆ คนพวกนี้!”
วิกฤตการณ์คราวนี้ยังทำให้ ทรัมป์ ต้องเสียคณะทำงานไปอีกคน โดย เคนเนธ เฟรเซียร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เมอร์ค แอนด์ โค อิงก์ ผู้ผลิตเวชภัณฑ์รายใหญ่ของโลก ได้ขอลาออกจากคณะทำงานด้านธุรกิจของประธานาธิบดี โดยระบุว่ารับไม่ได้กับความเกลียดชังและการดันทุรัง
ทรัมป์ ทวีตข้อความประชดประชันว่าหลังจากนี้ เฟรเซียร์ คงจะมีเวลาไปคิดหาวิธีทำให้ยาราคาถูกลง แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเหตุผลที่เขาลาออก
ภาพความรุนแรงที่เมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์ และกระแสถกเถียงเรื่องลัทธิเหยียดผิวได้สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปซึ่งผู้นำหลายประเทศต้องเผชิญกับกระแสความเกลียดกลัวชาวต่างชาติ (xenophobia) ที่มาพร้อมกับคลื่นผู้อพยพ
นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล แห่งเยอรมนีให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟีนิกซ์วานนี้ (14) ว่า รัฐบาลต้องมีมาตรการที่ชัดเจนและจริงจังในการปราบปรามลัทธิขวาจัดสุดโต่ง “และเราเองก็มีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำในประเทศของเรา”
ด้านองค์การสหประชาชาติเตือนว่า ลัทธิเหยียดผิวที่ใช้ความรุนแรง การต่อต้านชาวเซมิติก ความเกลียดกลัวคนต่างชาติ และการแบ่งแย่งกีดกันอย่างเปิดเผยเช่นที่เกิดขึ้นในเมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์ จะต้องไม่มีพื้นที่ในสังคมโลกปัจจุบัน
ขณะเดียวกันได้มีผู้ประท้วงราว 200 คนไปรวมตัวกันที่ด้านนอกทำเนียบขาวภายใต้สโลแกน “ปฏิเสธลัทธิเชิดชูผิวขาว” (Reject White Supremacy) และได้เดินขบวนต่อไปที่โรงแรมทรัมป์บนถนนเพนซิลเวเนียอเวนิวที่อยู่ใกล้ๆ กัน ส่วนที่แมตฮัตตันมีประชาชนหลายพันคนไปชุมนุมที่ด้านนอกอาคารทรัมป์ทาวเวอร์บนถนนฟิฟธ์อเวนิว และร้องตะโกนว่า “ไม่เอาทรัมป์ ไม่เอา KKK ไม่เอาสหรัฐฯ ที่เป็นฟาสซิสต์”