(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
One country two systems a pragmatic model
By Ken Moak
17/07/2017
โมเดล “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ที่จีนนำมาใช้กับฮ่องกงในช่วงเวลา 20 ปีนับตั้งแต่ได้รับมอบดินแดนนี้คืนจากสหราชอาณาจักร ถึงแม้ไม่ได้มีความสมบูรณ์แบบ แต่มันก็เป็นวิธีการที่ให้ผลดีในทางปฏิบัติและสอดคล้องกับความเป็นจริงในการนำเอาแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน/ฮ่องกง/มาเก๊า กลับมารวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ จีนแผ่นดินใหญ่จะไม่มีทางยินยอมปล่อยให้ดินแดนทั้งสามนี้ไม่ว่าแห่งไหนก็ตาม ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการเป็นอันขาด
โมเดล “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ถึงแม้ไม่ได้มีความสมบูรณ์แบบ แต่มันก็เป็นวิธีการที่ให้ผลดีในทางปฏิบัติและสอดคล้องกับความเป็นจริงในการนำเอาแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน/ฮ่องกง/มาเก๊า กลับมารวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง โมเดลนี้เปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายมีเวลา (50 ปีหรือยาวนานกว่านั้น) ที่จะเสาะแสวงหาหนทางแก้ไขต่างๆ ซึ่งสามารถที่จะลดช่วงห่างแห่งการพัฒนา –ทั้งในทางเศรษฐกิจ, การเมือง, สังคม, และวัฒนธรรมที่มีอยู่ระหว่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว จีนแผ่นดินใหญ่จะไม่มีทางยินยอมปล่อยให้ดินแดนทั้งสามนี้ไม่ว่าแห่งไหนก็ตาม ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการเป็นอันขาด
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี “หนึ่งประเทศ สองระบบ”
วลี “หนึ่งประเทศ สองระบบ” นี้ ว่ากันว่ามีต้นกำเนิดในช่วงสิ้นสุดของสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง กับฝ่ายชาตินิยม (ก๊กมิ่นตั๋ง) ของเจียง ไคเช็ค แทนที่จะให้สงครามความขัดแย้งดำเนินต่อไป ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะดึงเอาสหรัฐฯหรือญี่ปุ่นเข้ามาอยู่ในการทะเลาะวิวาทนี้ และก่อให้เกิดความเสียหายและความทุกข์ยากลำบากเพิ่มมากขึ้นไปอีก เหมาก็ตัดสินใจให้สงครามยุติลง เป็นที่เชื่อกันว่า จอมพลเย่ เจี้ยนอิง (Ye Jianying) เป็นผู้ที่กล่าวว่า มันไม่ใช่ “เรื่องใหญ่โตอะไร” ถ้าหากจีนจะมี 2 ระบบ ตราบใดที่ไต้หวันไม่ได้ผละออกไปจาก “ครอบครัว”
การตัดสินใจไม่นำเอาไต้หวันมารวมกับแผ่นดินใหญ่โดยใช้กำลังเช่นนี้ ได้รับการพิสูจน์ยืนยันแล้วว่าสามารถให้ผลในทางปฏิบัติและก็ฉลาดหลักแหลม ถึงแม้การรวมชาติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอาจต้องเลื่อนเวลาออกไปจนถึงอนาคตอันไกลโพ้น ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มั่งคั่งรุ่งเรืองขึ้นมาจากการมีช่วงระยะเวลาที่มีเสถียรภาพอย่างยาวนาน ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ขึงตึงเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
แบบแปลนหนึ่งประเทศ สองระบบสำหรับฮ่องกง
สนธิสัญญาหนานจิงปี 1842 (The Treaty of Nanjing 1842) บังคับให้ราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty) ต้องยอมสละเกาะฮ่องกงและดินแดนส่วนใต้ของฝั่งเกาลูน (Kowloon) ให้แก่สหราชอาณาจักรไปอย่างถาวรตลอดกาล ในเวลาต่อมามหาอำนาจจักรวรรดินิยมรายนี้ยังบังคับให้รัฐบาลราชวงศ์ชิงต้องลงนามในอนุสัญญาเพื่อการขยายดินแดนฮ่องกง (Convention for the Extension of Hong Kong Territory) หรือที่เรียกกันว่า “อนุสัญญาปักกิ่งฉบับที่ 2” (Second Convention of Peking) เมื่อปี 1898 ซึ่งสาระสำคัญคือการให้สหราชอาณาจักรเช่าดินแดนทั้งหมดของเกาลูนและนิวเทอร์ริทอรีส์ (New Territories) เป็นระยะเวลา 99 ปี โดยที่วันครบกำหนดหมดอายุคือวันที่ 30 มิถุนายน 1997
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 มีพ่อค้านักธุรกิจชาวสหราชอาณาจักรและพ่อค้านักธุรกิจชาวจีนบางส่วน พยายามล็อบบี้รัฐบาลสหราชอาณาจักรให้รักษาสถานะเดิมเอาไว้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้การปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของพวกเขาในอาณานิคมแห่งนี้ ในปี 1982 มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ (Margaret Thatcher) นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรได้เดินทางไปยังประเทศจีน โดยเรียกร้องให้จีนเคารพข้อความในมาตราต่างๆ ของสนธิสัญญาหนางจิง, อนุสัญญาปักกิ่งฉบับที่ 2, ตลอดจนสนธิสัญญาฉบับอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม เติ้ง เสี่ยวผิง (Deng Xiaoping) ผู้นำของจีนปฏิเสธ และรายงานข่าวระบุว่าเขาได้บอกกับแธตเชอร์ว่าจีนจะนำเอาฮ่องกงกลับคืนมาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งอย่างแน่นอน เพื่อให้มั่นใจว่าแธตเชอร์เข้าใจข้อความนี้ เขาสั่งกองทหารจีนเข้าประจำการตามแนวชายแดนระหว่างแผ่นดินใหญ่กับฮ่องกง เติ้งทราบดีว่าสหราชอาณาจักรไม่ได้มีความเข้มแข็งทางทหารเพียงพอที่จะ “ขอดู” การบลั๊ฟของเขา เพราะทั้งสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสต้องร้องขอสหรัฐฯช่วยเหลือทางการทหาร ในระหว่างที่เกิดวิกฤตการณ์ คลองสุเอซ (Suez Canal crisis) ปี 1954
แธตเตอร์ได้แนะนำให้รัฐสภาสหราชอาณาจักรตกลงคืนฮ่องกงให้แก่จีน ซึ่งขมวดปมอยู่ที่การให้สัตยาบันแก่ปฏิญญาร่วมจีน-สหราชอาณาจักร (Sino-British Joint Declaration) ในปี 1984 ปฏิญญาฉบับนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานสำหรับการร่าง “กฎหมายพื้นฐาน” (Basic Law) หรือก็คือรัฐธรรมนูญของดินแดนฮ่องกง โดยที่ในกฎหมายพื้นฐานนี้ มีการระบุเชิดชูแบบแปลน “หนึ่งประเทศ สองระบบ” อย่างโดดเด่น โมเดลนี้เป็นการคำนึงถึงทั้งเรื่องช่วงห่างของการพัฒนาด้านต่างๆ ระหว่างสองฝ่าย และเรื่องคุณค่าที่ฮ่องกงมีต่อแผ่นดินใหญ่, รวมทั้งยังเป็นการเสนอแบบเทมเพลตสำหรับไต้หวันอีกด้วย
ระยะเวลากว่า 150 ปีที่ฮ่องกงอยู่ใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรในฐานะเป็นอาณานิคม ได้เปลี่ยนแปลงพลิกโฉมเศรษฐกิจ, การเมือง, และสังคมของดินแดนนี้ไปในวิถีทางต่างๆ ซึ่งไม่ได้ทาบสนิทเข้าร่องเข้ารอยเดียวกันกับเศรษฐกิจ, การเมือง, และสังคมของแผ่นดินใหญ่ มันจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งสำหรับการนำเอาทั้งสองฝ่ายนี้ปรับเข้าสู่แนวเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น แผ่นดินใหญ่ยังต้องการฮ่องกง เพราะดินแดนแห่งนี้มีสกุลเงินตราซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนกับสกุลอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งมีภาคบริการที่อยู่ในระดับเวิลด์คลาส ซึ่งเปิดทางให้ฮ่องกงสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับดีเลิศ ทั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศและการเงินระหว่างประเทศ โดยที่ฮ่องกงได้มีส่วนช่วยเหลือแผ่นดินใหญ่ในการพัฒนาภาคบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาคสถานบริการ, โลจิสติกส์, การเงิน, และบริการอย่างอื่นๆ ดินแดนแห่งนี้ยังเป็นศูนย์กลางแห่งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ในเรื่องการลงทุนและการค้าต่างประเทศ ตลอดจนเป็นแหล่งที่มาแหล่งหนึ่งของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ
โมเดลนี้ยังใช้เป็นบททดลองสำหรับไต้หวันด้วย ประสบการณ์จากฮ่องกงเป็นการให้โอกาสแก่แผ่นดินใหญ่ในการปรับปรุงยกระดับแบบแปลน “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในเวลาที่สองฝ่ายพรักพร้อมที่จะกลับมารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
กฎหมายพื้นฐาน
กฎหมายพื้นฐาน ซึ่งประกาศใช้ในปี 1985 มีฐานะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับมินิของฮ่องกง กฎหมายนี้ให้การรับประกันระบบทุนนิยมของฮ่องกงและวิถีการดำเนินชีวิตในฮ่องกงเป็นระยะเวลา 50 ปี แต่ไม่ได้ให้สิทธิแก่ดินแดนแห่งนี้ในการควบคุมเรื่องการป้องกันประเทศหรือการดำเนินกิจการต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ระบุด้วยว่าจะไม่มีการนำเอาระบบสังคมนิยมในสไตล์ของแผ่นดินใหญ่เข้ามาบังคับใช้ปฏิบัติในฮ่องกง
อย่างไรก็ดี ปรากฏว่ามีบางคนบางฝ่ายในฮ่องกงแสดงการคัดค้านกระบวนการรวมดินแดนนี้กับแผ่นดินใหญ่เข้าด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง, กำลังบ่มเพาะฟูมฟักพรรคและกลุ่มการเมือง “ฝ่ายประชาธิปไตย”, และทำการเปลี่ยนแปลงในหลักสูตรการศึกษาที่ใช้ในฮ่องกง วิชาประวัติศาสตร์จีนได้กลายเป็นเพียง “วิชาเลือก” วิชาหนึ่ง แถมยังสอบผ่านได้อย่างลำบากยากเย็นสุดๆ บางคนบางฝ่ายในฮ่องกงจึงมีความเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเช่นนี้อาจจะด้วยเจตนารมณ์แฝงที่จะส่งอิทธิพลทำให้คนรุ่นหนุ่มสาวกลายเป็น “สหราชอาณาจักร” มากยิ่งขึ้น แล้วในช่วงทศวรรษ 1990 ก็มีการจัดตั้ง “พรรคประชาธิปไตย” (Democratic Party) และกลุ่มองค์การต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมอุ้มชู “อุดมการณ์ประชาธิปไตย” หรือทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยได้รับเลือกตั้งเข้าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติของฮ่องกง หลู่ ผิง (Lu Ping) ซึ่งในตอนนั้นเป็นผู้รับผิดชอบของจีนเกี่ยวกับกิจการฮ่องกง/มาเก๊า ได้กล่าวประณาม คริส แพทเทิน (Chris Patten) ผู้ว่าการที่สหราชอาณาจักรแต่งตั้งมาปกครองอาณานิคมฮ่องกงเป็นคนสุดท้ายก่อนส่งมอบคืนให้จีนว่า “กำลังวางลูกระเบิดเวลาในฮ่องกง” รวมทั้งตราหน้าเขาว่า เป็น “คนบาปที่จะมีบาปติดตัวไปเป็นพันปี” (sinner of a thousand years)
จีนละเมิดไม่เคารพกฎหมายพื้นฐานหรือเปล่า?
แผ่นดินใหญ่ได้ละเมิดไม่เคารพกระทำตามกฎหมายพื้นฐานใช่หรือไม่? คำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปถามใคร สำหรับพวกกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “พวกนิยมประชาธิปไตย” เป็นต้นว่า ขบวนการร่ม (Umbrella Movement), กลุ่มรวมชาวประชาธิปไตย (Pan Democrats), และกลุ่มออคคิวพาย เซนทรัล (Occupy Central) แล้ว คำตอบคือแผ่นดินใหญ่ละเมิดกฎหมายพื้นฐานอย่างแน่นอน พร้อมกับกล่าวหาจีนด้วยว่ากำลังลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสิทธิทางประชาธิปไตยอื่นๆ ของฮ่องกง
แต่การกล่าวหาเช่นนี้มีปัญหา เพราะการดำรงคงอยู่ของพวกนักเคลื่อนไหว “นิยมประชาธิปไตย” เหล่านี้นี่เอง กลับเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันว่าแผ่นดินใหญ่ปฏิบัติตามกฎหมายพื้นฐาน พวกนักเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้กล่าวถ้อยคำวาทกรรมต่อต้านแผ่นดินใหญ่ของพวกเขาทั้งในฮ่องกงและในต่างแดนโดยที่มิได้ถูกผลสะท้อนกลับอะไร ทั้งรัฐบาลจีนและรัฐบาลฮ่องกงต่างก็ไม่ได้ยึดเอกสารสำหรับการเดินทางของพวกเขาเอาไว้ และไม่ได้ป้องกันห้ามปรามไม่ให้พวกเขากล่าวประณามว่าร้ายรัฐบาลจีนหรือรัฐบาลฮ่องกงต่อสาธารณชน
พวกกลุ่มต่อต้านการรวมฮ่องกงกับแผ่นดินใหญ่เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งทั้งหลาย (รวมทั้งพวกต่างชาติหลายประเทศ) ได้กล่าวหารัฐบาลจีนว่า กระทำการ “ลักพาตัว” ผู้จำหน่ายหรือผู้จัดพิมพ์หนังสือในฮ่องกงจำนวน 5 รายเมื่อปี 2015 โดยที่บุคคลเหล่านี้ไปปรากฏตัว “อย่างลึกลับเป็นปริศนา” ในแผ่นดินใหญ่ และถูกตั้งข้อหาว่ากำลังลักลอบนำนำเอาหนังสือต้องห้ามจากฮ่องกงเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตาม ลุ่ย โป๋ (Lui Bo) กับ เฉิง จี้ผิง (Cheng Jiping) ได้ร้องขอให้ตำรวจฮ่องกงยุติคดีเกี่ยวกับ “บุคคลสูญหาย” เหล่านี้ พร้อมกับสารภาพว่าพวกเขาเดินทางไปแผ่นดินใหญ่ด้วยตัวเอง ทางด้าน ลี โป๋ (Lee Bo) กล่าวว่าเขาเดินทางไปแผ่นดินใหญ่เพื่อชำระจิตสำนึกของเขาเองหลังจากการขับรถขณะเมาสุราและชนพลเมืองแผ่นดินใหญ่คนหนึ่งเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม หลัม วิงคี (Lam Wing-kee) ได้บอกพวกผู้สื่อข่าวในฮ่องกงว่า เขาถูกลักพาตัว, ถูกใส่กุญแจมือ, และถูกบังคับให้สารภาพผิด ทว่า ลี โป๋ ได้ปฏิเสธการกล่าวอ้างของหลัม
เมื่อวินิจฉัยความคิดความเห็นต่างๆ ซึ่งแสดงออกมาในรายงานข่าวและทัศนะต่างๆ ของชาวฮ่องกงที่อพยพไปพำนักอาศัยในเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ปรากฏว่าประชากรส่วนใหญ่ของดินแดนแห่งนี้ดูจะสนับสนุนการรวมประเทศชาติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง รวมทั้งคิดว่าแผ่นดินใหญ่ไม่ได้ละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายพื้นฐาน อันที่จริงแล้ว พวกเขาชี้ว่าฮ่องกงก็ยังคงมีความเป็นเสรีพอๆ กันกับในยุคที่เป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร ถ้าหากไม่ใช่มีเสรีภาพมากกว่าด้วยซ้ำไป อารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาเช่นนี้สะท้อนออกมาให้เห็นโดยหนึ่งในที่ปรึกษาคนสำคัญของแธตเชอร์ (และก็เข้าร่วมในการร่างกฎหมายพื้นฐานด้วย) นั่นคือ เคิร์ต ถง (Kurt Tong) กงสุลใหญ่สหรัฐฯในฮ่องกง ผู้ซึ่งให้ปากคำระบุว่า สภาพ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ดีสำหรับฮ่องกง
จีนคืออนาคตของฮ่องกง
เมื่อตอนที่สหราชอาณาจักรปกครองฮ่องกงอยู่นั้น พื้นที่ผืนใหญ่โตของดินแดนนี้เป็นสิ่งที่สหราชอาณาจักรเช่าไปจากจีน และได้มอบคืนพื้นที่ซึ่งเช่าไปนี้ ตลอดจนส่งคืนดินแดนขนาดย่อมๆ ในเกาลูนและเกาะฮ่องกงให้จีนในปี 1997 หากปราศจากนักท่องเที่ยว, การลงทุน, อาหาร, น้ำ, และผลประโยชน์อื่นๆ จากจีนแล้ว เศรษฐกิจของฮ่องกงก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้ ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าในทางกฎหมายหรือในทางเศรษฐกิจ ฮ่องกงก็ไม่สามารถที่จะแยกตัวออกไปจากจีนได้
ยิ่งกว่านั้น เป็นเรื่องที่สามารถอภิปรายถกเถียงกันได้ว่า พวกนักเคลื่อนไหว “นิยมประชาธิปไตย” นั้นเชื่อจริงๆ ในสิ่งที่พวกเขาป่าวร้องเทศนาหรือเปล่า เมื่อพิจารณาถึงการกระทำของพวกเขาตลอดจนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต การจัดการประท้วงต่างๆ ของพวกเขาเพื่อก่อกวนเศรษฐกิจ, ระบบการเมือง, และสังคมนั้นเป็นสิ่งที่เฉียดใกล้ “ภาวะอนาธิปไตย” การไปให้ปากคำต่อต้านจีนทั้งต่อคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ของรัฐสภาสหรัฐฯและของรัฐสภาแคนาดาเพื่อที่จะเสริมกำลังความแข็งแกร่งให้แก่นโยบายต่อต้านจีนของประเทศต่างๆ เหล่านี้ ย่อมไม่ต่างอะไรกับการทรยศขายชาติ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีบางคนซึ่งไปให้ปากคำต่อหน้าคณะกรรมาธิการเหล่านี้ ถึงกับกล่าวยกย่องแก้ต่างให้แก่ระบอบปกครองอาณานิคมแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จของสหราชอาณาจักรอีกด้วย
มาร์ติน จาคส์ (Martin Jacques) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “When China Rules the World” กล่าวเอาไว้อย่างถูกต้องว่า จีนคืออนาคตของฮ่องกง พวกนักเคลื่อนไหว “เพื่อประชาธิปไตย” มีความรับผิดชอบที่จะต้องทำงานกับรัฐบาลประเทศต่างๆ เพื่อประคับประคองและส่งเสริมเพิ่มพูนความมีพลังอันคึกคักและความมั่งคั่งรุ่งเรืองของฮ่องกง
(ข้อเขียนซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้ส่งเรื่องมาให้ ทางเอเชียไทมส์ไม่ขอรับผิดชอบทั้งต่อความคิดเห็น, ข้อเท็จจริง, หรือเนื้อหาด้านสื่อใดๆ ที่นำเสนอ)
เคน มวค สอนวิชาทฤษฎีเศรษฐกิจ, นโยบายภาคสาธารณะ, และกระแสโลกาภิวัตน์ในระดับมหาวิทยาลัยมาเป็นเวลา 33 ปี เขายังเป็นผู้เขียนร่วมของหนังสือเรื่อง China's Economic Rise and Its Global Impact (Palgrave McMillan, 2015) สำหรับหนังสือเล่มล่าสุดของเขาซึ่งใช้ชื่อว่า Developed Nations and the Impact of Globalization มีกำหนดจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Palgrave McMillan Springer ในปี 2017
หมายเหตุผู้แปล
นอกเหนือจากข้อเขียนของ เคน มวค แล้ว เนื่องในวาระครบรอบ 20 ปีที่ฮ่องกงกลับคืนมาเป็นของจีน ทางเอเชียไทมส์ยังได้เผยแพร่ข้อเขียนของ ท็อดด์ โครเวลล์ นักหนังสือพิมพ์อาวุโสชาวตะวันตกที่ทำงานอยู่ในเอเชียมายาวนาน แสดงมุมมองของเขาเกี่ยวกับระยะเวลา 2 ทศวรรษที่ผ่านไปนี้ จึงขอเก็บความนำมาเสนอเอาไว้ในที่นี้:
ธงทิว, พลุ, ดอกไม้ไฟ: 20 ปีแห่งความตึงเครียดในฮ่องกง
โดย ท็อดด์ โครเวลล์
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Flags, fireworks, flare-ups: 20 years of tension in Hong Kong
By Todd Crowell
30/06/2017
ในขณะที่ฮ่องกงและจีนมองย้อนหลังกลับไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่ฝ่ายแรกกลับคืนมาอยู่ในอธิปไตยของจีน ทั้งสองฝ่ายย่อมค้นพบว่าความหวาดกลัวอันเลวร้ายที่สุดของพวกเขานั้นไม่ได้มีมูลความจริงเลย แต่ทว่าความวาดหวังอย่างสดใสที่สุดของพวกเขาก็ไม่ได้รับการเติมเต็มให้สมบูรณ์เช่นเดียวกัน
เมื่อมีใครสักคนหนึ่งถามผมว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในฮ่องกงในรอบ 20 ปีนับตั้งแต่กลับคืนมาอยู่กับจีนในปี 1997 และการถอยจากไปของพวกสหราชอาณาจักร บ่อยครั้งทีเดียวที่ผมตอบว่า คุณสามารถมองเห็นธงสีแดงโบกสะบัดเยอะแยะไปหมด (จำนวนมากที่สุดเป็นธงฮ่องกงด้วย ไม่ใช่ธงชาติจีน) แล้วนอกจากนั้นพวกเขายังได้เปลี่ยนสีตู้ไปรษณีย์ของการไปรษณีย์หลวง (Royal Mail) ที่เคยเป็นสีแดง ให้เป็นสีเขียวของ “การไปรษณีย์ฮ่องกง” (Hong Kong Post)
พูดอย่างนี้อาจฟังดูเหมือนการเล่นลิ้นเพื่อกระเซ้าเย้าแหย่ แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อดูจากภายนอกมันแทบไม่ค่อยได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรให้เห็นนักหรอก ขบวนรถรางยังคงแล่นไปตามถนนสายต่างๆ ซึ่งตั้งชื่อตามนามของพวกข้าหลวงผู้ว่าการในยุคอาณานิคม อนุสาวรีย์ของสมเด็จพระราชินีวิกทอเรีย (Queen Victoria) ยังคงทรงประทับนั่งและทอดสายพระเนตรอย่างเงียบสงบไปยังเทือกเขา อยู่ภายในสวนสาธารณะซึ่งตั้งชื่อตามพระนามของพระองค์ บรรดาทนายความว่าความในศาลก็ยังคงเรียกเหล่าผู้พิพากษาในชุดแดง (เป็นสีจากเสื้อคลุมที่พวกเขาสวมอยู่ ไม่ใช่จากความศรัทธาทางการเมืองของพวกเขา) ด้วยคำว่า “your worship”
นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยแม้กระทั่งในระดับผิวเปลือกนอก ยังใครอีกหรือที่ยังคงจำได้ว่า ในเดือนตุลาคมของแต่ละปี หลายๆ ส่วนของฮ่องกงเคยถูกตกแต่งเป็นพวงพู่ระย้าด้วยธงจีนคณะชาติสีแดง-น้ำเงิน? ขณะที่เวลานี้มองเห็นกันว่า มันกลายเป็นความไม่ถูกต้องทางการเมือง --นี่พูดอย่างสถานเบาที่สุด— เสียแล้ว ที่จะประดับประดาด้วยทิวธงในทางพฤตินัยของไต้หวันเช่นนั้นในที่สาธารณะ
ผมยังมองเห็นสัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นๆ อีกด้วย เมื่อตอนที่ผมทราบเรื่องที่ร้าน จิมมี่ส์ คิตเชน (Jimmy’s Kitchen) ภัตตาคารระดับสถาบันในยุคอาณานิคม กำลังถูกขายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่เป็นชาวจีนรายหนึ่ง ตอนที่ นีล แมคเซนซี (Neil Mackenzie) เจ้าของผู้ดำเนินกิจการร้านแห่งนี้ กล่าวถึงเรื่องการขายกิจการ (นี่ต้องย้อนหลังไปในปี 2002) ได้มีการอ้างอิงคำพูดของเขาที่บอกว่า “ฮ่องกงได้เปลี่ยนแปลงไปเยอะมากในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา” โดยที่ไม่ได้แจกแจงว่าอะไรกันแน่ๆ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงไป นอกเหนือจากเรื่องที่ว่าดินแดนแห่งนี้ไม่ได้เป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักรอีกต่อไปแล้ว
ขณะที่ฮ่องกงและจีนมองย้อนหลังกลับไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่ฝ่ายแรกกลับคืนมาอยู่ในอธิปไตยของจีน ทั้งสองฝ่ายย่อมค้นพบว่าความหวาดกลัวอันเลวร้ายที่สุดของพวกเขานั้นไม่ได้มีมูลความจริงเลย แต่ทว่าความวาดหวังอย่างสดใสที่สุดของพวกเขาก็ไม่ได้รับการเติมเต็มให้สมบูรณ์เช่นเดียวกัน ประชาชนฮ่องกงนั้นแม้บางทีอาจจะด้วยความไม่เต็มใจ แต่พวกเขาก็จะต้องยอมรับว่าปักกิ่งไม่ได้ลิดรอนอิสรภาพต่างๆ ของพวกเขา ทว่าพวกเขาก็ยังคงรู้สึกผิดหวังกับการที่ความวาดหวังของพวกเขาที่จะได้รับประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ (ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้รับคำมั่นสัญญาเช่นนั้น) ยังคงมิได้กลายเป็นความจริงขึ้นมา
สำหรับในส่วนของปักกิ่งแล้ว พวกเขาจะต้องดีใจที่ฮ่องกงไม่ได้กลายเป็นฐานที่มั่นที่ต่างชาติใช้เพื่อล้มล้างบ่อนทำลายรัฐบาลกลางของแดนมังกร แต่ในเวลาเดียวกันมันก็จะต้องมีความรู้สึกหงุดหงิดผิดหวังแฝงฝังอยู่อย่างลึกๆ ต่อข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้คณะผู้นำของจีนได้รับความรักใคร่อะไรมากมายเลย ประชาชนฮ่องกงยังคงคิดคำนึงถึงตัวพวกเขาเองอันดับแรกสุดในฐานะที่เป็นชาวฮ่องกง และในอันดับสองที่อยู่ห่างออกไปไกล จึงคิดถึงในฐานะที่พวกเขาเป็นพลเมืองของจีน (หมายความถึงองคาพยพทางการเมืองที่รู้จักกันในนามว่าสาธารณรัฐประชาชนจีน) ไม่ว่าจะมีรายการแลกเปลี่ยนอย่างมากมายเพียงใด, การรณรงค์ขับดันตามคำขวัญแบบ “รักประเทศจีน รักฮ่องกง”, หรือการเปิดค่ายทหารจีนต้อนรับผู้เข้ามาเยี่ยมชม ก็ดูจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงเรื่องนี้
ความใกล้ชิดกันความคล้ายคลึงกันก็ไม่ได้ช่วยปรับปรุงยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนชาวฮ่องกง กับชาวจีนแผ่นดินใหญ่จำนวนเป็นแสนเป็นล้านคนซึ่งเดินทางมายังดินแดนแห่งนี้นับตั้งแต่ที่ประเทศจีนผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทาง (อันที่จริงนี่ก็เป็นความเคลื่อนไหวประการหนึ่งซึ่งมุ่งหมายที่จะสร้างความพอใจให้แก่ฮ่องกง ในระหว่างเกิดวิกฤตทางการเงินทั่วเอเชีย) เหตุการณ์บางอย่างบางประการ ซึ่งในตัวของมันเองเป็นเพียงเรื่องขี้ปะติ๋วเสียเหลือเกิน แต่ก็ได้ถูกนำมาขยายตีความกันจนเลยขอบเขต เป็นต้นว่า เมื่อตอนที่ โดลเช แอนด์ แกบานา (Dolce & Gabbana) ห้างแบรนด์เนมขายปลีกเสื้อผ้าแพงหรูของอิตาลี เปิดร้านใหม่เฉียบแสนสมาร์ตขึ้นบนถนน แคนตัน (Canton Road) อันจอแจในฝั่งเกาลูน มันก็กลายเป็นปัญหาวุ่นวายทีเดียวเมื่อทางผู้จัดการร้านพยายามห้ามปรามคนท้องถิ่นไม่ให้ถ่ายภาพดิสเพลย์หน้าต่างร้าน แต่ไม่ได้ห้ามผู้มาเยือนที่เป็นชาวแผ่นดินใหญ่ด้วย ปรากฏว่ามีผู้คนมากกว่า 1,000 คนทีเดียวออกมาชุมนุมที่หน้าร้านแห่งนี้เพื่อแสดงการประท้วง
ธุรกรรมในด้านอสังหาริมทรัพย์เวลานี้กล่าวกันว่า จำนวนถึงราว 40% เกี่ยวข้องโยงใยกับพวกผู้ซื้อที่เป็นคนแผ่นดินใหญ่ เรื่องนี้เพิ่มพูนผลกำไรให้แก่พวกเจ้าของที่ดินและนักพัฒนาโครงการ ทว่าราคาที่แพงทะยานขึ้นก็ทำให้ประชาชนฮ่องกงจำนวนมากขึ้นถูกกีดกันออกไป เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้ยินวลีว่า “ชนชั้นแซนด์วิช” (sandwich class) ซึ่งหมายถึงคนที่มั่งมีร่ำรวยเกินกว่าที่จะไปอยู่ตามอาคารเคหะสงเคราะห์ ทว่าก็ยังคงยากจนเกินกว่าที่จะซื้อห้องชุดอพาร์ตเมนต์ไหว) คนท้องถิ่นไม่น้อยยังพบว่าร้านบะหมี่เจ้าโปรดของพวกเขาต้องปิดกิจการลง เพื่อเปิดทางให้แก่ร้านค้าที่ขายนาฬิกาอิมพอร์ตสำหรับพวกนักท่องเที่ยวชาวจีน
จากนั้นก็มีโฆษณาอันฉาวโฉ่ว่าด้วย “ตั๊กแตน” ตีพิมพ์อยู่ใน “แอปเปิล เดลี่” (Apple Daily) หนังสือพิมพ์ภาษาจีนชั้นนำของดินแดนแห่งนี้ โฆษณาขนาดเต็มหน้าชิ้นนี้ทำเป็นภาพตั๊กแตนตัวยักษ์ตัวหนึ่งที่กำลังมองจ้องลงมาอย่างหิวกระหายขณะเกาะอยู่ยอดเขาที่ตั้งผงาดอยู่เหนือฮ่องกง คำบรรยายใต้ภาพเขียนด้วยถ้อยคำระดมพลสู้ศึกว่า “ประชาชนฮ่องกงเอือมระอาเต็มทีแล้ว” คุณๆ ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่า ตั๊กแตนตัวนี้นั้นตั้งใจให้หมายถึงจีนแผ่นดินใหญ่ และชาวแผ่นดินใหญ่ที่มาเยือนฮ่องกง
ประชาชนฮ่องกงยังมีวลีมุ่งแสดงการมีฐานะที่สูงกว่าอยู่วลีหนึ่ง ซึ่งมีที่มาที่ไปจากตัวละครบ้านนอกคอกนาผู้หนึ่งในซีรีส์ละครโทรทัศน์ และได้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายกันอยู่พักหนึ่งทีเดียว เพื่อให้หมายถึงพวกนักท่องเที่ยวที่ไหลทะลักกันมาจากแผ่นดินใหญ่ วลีดังกล่าวคือ “อาชุน” (Ah Choon) มันก็เป็นวิธีการอย่างหนึ่งซึ่งชาวฮ่องกงใช้เพื่อแสดงอาการเหยียดๆ ต่อพวกเครือญาติผู้ยากจนซึ่งอยู่ทางตอนเหนือขึ้นไปของพวกเขา ในระยะหลายๆ ปีก่อนหน้าการส่งมอบฮ่องกงกลับมาเป็นของจีน เวลานี้พวกเขายังคงเห็นว่าชาวแผ่นดินใหญ่เป็นพวกบ้านนอกคอกนา เพียงแต่เป็นพวกบ้านนอกคอกนาที่ร่ำรวยเท่านั้น
โซซัดโซเซจากวิกฤตหนึ่งไปสู่อีกวิกฤตหนึ่ง
ฮ่องกงมีผู้บริหารสูงสุดเป็นชาวจีนมาแล้วรวม 3 คนในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา และไม่มีใครเลยที่สามารถเกาะกุมหัวจิตหัวใจของชาวฮ่องกงเอาไว้ได้ (หมายเหตุผู้แปล – ข้อเขียนชิ้นนี้เขียนขึ้นก่อนที่ แคร์รี หลัม Carrie Lam จะสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุดที่เป็นชาวจีนคนที่ 4 ของฮ่องกง ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2017) คนแรกที่สุดคือ ต่ง เจี้ยนหวา (หรือ ต่ง ชีหวา Tung Chee-hwa) ซึ่งถูกมองว่าเป็นคนที่มีความเป็นมิตรทว่ากระทำความผิดพลาดเนื่องจากขาดความสามารถ เป็นคนน่านับถือที่โชคร้ายเนื่องจากล้ำลึกยังไม่เพียงพอ ต่งแสดงให้เห็นตั้งแต่ตอนแรกๆ ทีเดียวว่าเขาไม่ได้มีทักษะทางการเมืองหรืออำนาจบุญบารมีที่จำเป็นสำหรับการบริเวณสถานที่อย่างฮ่องกง
ผู้ว่าการที่เป็นคนจีนคนที่ 2 คือ โดนัลด์ จาง (Donald Tsang) ซึ่งตอนแรกดูเหมือนกับเป็นยาถอนพิษที่สมบูรณ์แบบภายหลังประสบความผิดหวังจากต่ง เขาประกาศตัวเป็น “แบบฉบับของเด็กฮ่องกงแท้ๆ” โดยเกิดในฮ่องกง (ไม่เหมือนกับต่ง ซึ่งเกิดที่เซี่ยงไฮ้) และทำงานไต่เต้าขึ้นมาจากตำแหน่งต่างๆ ในระบบราชการพลเรือนของฮ่องกง จนขึ้นเป็นรัฐมนตรีคลัง (financial secretary) และต่อมาก็เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี (chief secretary) ช่วงเวลาที่เขามีผลงานสะดุดตาที่สุดคือในปี 1998 ตอนที่เป็นรัฐมนตรีคลัง ขณะที่วิกฤตการเงินเอเชียกำลังลงลึกย่ำแย่สุดๆ อยู่นั้น เขาก็จัดแจงโยนทิ้งหลักการต่างๆ ว่าด้วยระบบเศรษฐกิจเสรีที่รัฐไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแทรกแซงใดๆ แล้วใช้จ่ายเงินภาครัฐจำนวนหลายพันล้านเข้าไปซื้อหุ้นเพื่อเป็นการพยุงค่าสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง
การปฏิบัติการอย่างฉับพลันคราวนั้นช่วยรักษาชีวิตของสกุลเงินฮ่องกงไว้ได้ แถมยังทำให้รัฐบาลได้กำไรงามเมื่อนำหุ้นที่ซื้อไว้ออกขายในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม ระหว่างดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุดในวาระ 2 ซึ่งกำหนดสิ้นสุดลงในปี 2012 จางเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันในเรื่องฉาวโฉ่หลายต่อหลายเรื่อง รวมทั้งถูกกล่าวหาว่ารับของขวัญของกำนัลจากพวกมหาเศรษฐีเจ้าพ่อธุรกิจในรูปของการเดินทางท่องเที่ยวด้วยเรือยอชต์หรูและด้วยเครื่องบินส่วนตัวของเจ้าสัวเหล่านี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้เอง ศาลเพิ่งมีคำพิพากษาตัดสินในคดีของเขา โดยพิพากษาจำคุกเขาเป็นเวลา 20 เดือน ทำให้เขากลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในฮ่องกงที่ต้องติดคุก
ผู้บริหารสูงสุดคนที่ 3 ของฮ่องกง ได้แก่ เหลียง เจี้ยนอิง (หรือ เหลียง ชุนอิง Leung Chun Ying ) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในอักษรย่อว่า “ซีวาย” ในยุคของเขาดูเหมือนประชากรที่มีความตื่นตัวทางการเมืองอย่างสูงของฮ่องกง ไม่เคยยินยอมให้เขาได้มีเวลาหยุดพักหายใจอะไรมากมายเลย เขาขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ได้อย่างเฉียดฉิวภายหลังจาก เฮนรี ถัง (Henry Tang) หัวหน้าคณะรัฐมนตรีในตอนนั้น ซึ่งเป็นผู้สมัครที่เป็นตัวเก็งและได้รับไฟเขียวจากปักกิ่งแล้วด้วย ถูกกล่าวหาว่ากำลังก่อสร้างต่อเติมบ้านของตัวเองอย่างผิดกฎหมาย ตลอดระยะเวลาแห่งการเป็นผู้ว่าการของเหลียงนั้น เขาถูกตามกัดไม่ยอมปล่อยจากข้อกล่าวหาที่ว่าความจงรักภักดีอันดับหนึ่งของเขาคือต่อปักกิ่ง ไม่ใช่ต่อฮ่องกง บางคนบางฝ่ายกล่าวหาเขาว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นสมาชิกลับๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์ (เรื่องที่แปลกประหลาดเอาการก็คือ การเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ยังคงถือเป็นความผิดตามกฎหมายในฮ่องกง)
เหลียงพยายามที่จะแก้ไขบรรเทาปัญหาบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนใจชาวฮ่องกงมาช้านาน เป็นต้นว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ทะยานขึ้นไปอย่างดุดัน เขาพยายามที่จะกำราบควบคุมเรื่องนี้ด้วยการจัดเก็บภาษีจากประดาคนแผ่นดินใหญ่ซึ่งกำลังโถมเข้ามากว้านซื้อจนทำเอาราคาขยับไม่หยุด รวมทั้งการสั่งห้ามสตรีมีครรภ์เดินทางเข้ามาคลอดบุตรในฮ่องกงเพื่อที่จะได้รับสิทธิบางอย่างบางประการ เช่น การพำนักอาศัยในดินแดนนี้ ทว่าก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จอะไรนัก แล้วการปฏิบัติการเหล่านี้ก็ไม่ได้มีอย่างไหนเลยที่ดูจะสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ยกระดับเรตติ้งความยอมรับจากสาธารณชนอันย่ำแย่ของเขาขึ้นมาได้
ในระยะเวลา 20 ปีนับแต่การส่งมอบอำนาจการปกครอง ฮ่องกงก็ผ่านประสบการณ์แห่งวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ๆ มารวม 3 ครั้งเช่นกัน ครั้งแรกคือการประท้วงของมวลชนเพื่อคัดค้าน มาตรา 23 ของกฎหมายพื้นฐาน หรือก็คือรัฐธรรมนูญฉบับย่อมๆ ของมหานครแห่งนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2003 เนื้อหาของมาตราที่เปรียบได้กับระเบิดเวลาลูกนี้ กำหนดผูกมัดให้ฮ่องกงต้องออกกฎหมายต่างๆ เพื่อใช้ในการปราบปราม “การล้มล้างบ่อนทำลาย” และพิทักษ์คุ้มครอง “ความลับต่างๆ ของรัฐ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกจำกัดความเอาไว้อย่างค่อนข้างกว้างขวางมากในประเทศจีน มาตรานี้ถูกพิจารณาว่ามีความอ่อนไหวยิ่งและมีศักยภาพที่จะทำลาย “ความเชื่อมั่น” ในอนาคตของดินแดนแห่งนี้ จนกระทั่งรัฐบาลต้องรอคอยอยู่เป็นเวลา 5 ปีก่อนที่จะเดินหน้าในเรื่องนี้ ทั้งนี้มีการขบคิดคาดการณ์กันว่าเมื่อเวลาผ่านไปขนาดนั้นแล้ว ประชาชนฮ่องกงก็น่าจะมีความสบายอกสบายใจขึ้นมากต่อประเทศจีนและเจตนารมณ์ของจีน แต่แล้วความเป็นจริงกลับพิสูจน์ให้เห็นว่าการคาดการณ์เช่นนี้เป็นการคาดคำนวณสถานการณ์ที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง
ประมาณกันว่ามีผู้คน 500,000 คน (ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่ใหญ่โตทีเดียวของจำนวนประชากรทั้งหมดในฮ่องกง) ออกมาเข้าร่วมการชุมนุมเดินขบวนครั้งมโหฬารเพื่อคัดค้านมาตรา 23 และคณะบริหารของ ต่ง โดยรวมด้วย วันนั้นอากาศร้อนและแดดแจ่ม และมีบรรยากาศแบบงานเทศกาล ผู้คนพากันออกมาสู่ท้องถนนพร้อมกับอุ้มลูกจูงหลานของพวกเขา แม้กระทั่งเด็กทารกที่ยังต้องนอนอยู่ในรถเข็น พวกเขาพากันเดินจากสวนสาธารณะวิกทอเรีย พาร์ก ไปยังอาคารสำนักงานรัฐบาลบนนถนนโลเวอร์ อัลเบิร์ต (Lower Albert Road) ภาพถ่ายจากทางอากาศที่นำออกเผยแพร่ทางทีวีในคืนนั้นมองดูแล้วช่างเหมือนกับเป็นคลื่นยักษ์สึนามึของผู้คนทีเดียว
20 ปีภายหลังการส่งมอบอำนาจ มาตรา 23 กลายเป็นประเด็นที่ตายสนิท ไม่ว่ารัฐบาลฮ่องกงหรือปักกิ่งต่างไม่ได้แสดงสัญญาณบ่งชี้ใดๆว่า พวกเขาตั้งใจที่จะรื้อฟื้นนำเอาหัวข้อนี้กลับขึ้นมาพูดจาผลักดันกันอีก การประท้วงซึ่งเป็นการเอ็กเซอร์ไซส์อย่างน่าตื่นตาตื่นใจของพลังประชาชน เป็นอันสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะ และชวนให้ชาวฮ่องกงฝันเฟื่องคิดนึกไปว่าการเผชิญหน้ากันต่อๆ ไปในอนาคตก็จะยุติลงในลักษณะซึ่งเป็นที่พออกพอใจของพวกเขาเช่นนี้อีก และแล้วความคาดหมายดังกล่าวก็ถาโถมพลุ่งพล่านขึ้นในอีก 10 ปีต่อมาในความขัดแย้งที่ใหญ่โตขึ้นกว่าเดิม
วิกฤตการณ์ครั้งที่ 2 ในปี 2012 มีชนวนเหตุจากการที่รัฐบาลฮ่องกงพยายามอัดฉีดลัทธิรักชาติ (ซึ่งหมายถึงการสนับสนุนสาธารณรัฐประชาชนจีน) เข้าไปในหลักสูตรการเรียนการสอนเพิ่มขึ้นกว่าก่อนเป็นอย่างมาก เนื้อหาการเรียนการสอนใหม่ๆ ที่กำหนดให้นำมาใช้ มีทั้ง “แบบอย่างประเทศจีน” ซึ่งมุ่งหมายที่จะบรรยายให้เห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคการเมืองที่ก้าวหน้า, ไม่มีความเห็นแก่ตัว, และสามัคคีกัน ขณะเดียวกันก็วิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองแบบมีหลายพรรคว่าทำให้เกิดการกดขี่และสร้างความแตกแยก การตัดสินใจผลักดันเรื่องนี้เป็นการสะท้อนถึงความหงุดหงิดไม่พอใจที่กำลังเพิ่มทวีขึ้นในปักกิ่ง ต่อการที่โรงเรียนต่างๆ ในฮ่องกงยังไม่ได้ทำอะไรให้มากเพียงพอที่จะอบรมบ่มเพาะส่งเสริมลัทธิรักชาติและความรักในมาตุภูมิบ้านเกิดเมืองนอน
การประท้วงคัดค้านการศึกษาเพื่อความรักชาติคราวนี้ สิ่งหนึ่งที่เตะตาคือเป็นครั้งแรกที่ปรากฏธงอาณานิคมสหราชอาณาจักรในหมู่ผู้ชุมนุมเดินขบวน ผมเกือบจะตกเก้าอี้เอาทีเดียวเมื่อตอนที่ผมเห็นภาพธงดังกล่าวนี้ในมือของผู้ประท้วงบางคนตีพิมพ์อยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ เป็นเรื่องยากที่จะขบคิดได้ว่าจะมีอะไรซึ่งจะสามารถสร้างความโกรธขึ้งให้แก่พวกผู้นำจีนได้มากไปกว่าการที่ประชาชนฮ่องกงยกย่องเชิดชูสัญลักษณ์ของลัทธิอาณานิคมเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าธงนี้จะยิ่งเพิ่มความสำคัญมากขึ้นไปอีกในการชุมนุมเดินขบวนครั้งต่อๆ ไปในอนาคต
วิกฤตการณ์ซึ่งถือเป็นครั้งร้ายแรงที่สุดในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ย่อมต้องเป็น “ขบวนการร่ม” (Umbrella Movement) ของปี 2014 ซึ่งมีชื่อเรียกขานกันเช่นนั้นเนื่องจากผู้เดินขบวนใช้ร่มเป็นอุปกรณ์ป้องกันแก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทย (แน่นอนล่ะ รวมทั้งป้องกันฝนที่ตกลงมาด้วย) การชุมนุมเดินขบวนคราวนี้เริ่มต้นขึ้นในเดือนกันยายน หลังจากที่ปักกิ่งเผยแพร่ข้อเสนอของตนเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้บริหารสูงสุดครั้งที่จะจัดขึ้นในปี 2017 ในข้อเสนอนี้ระบุให้ประชาชนผู้ออกเสียงไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันโดยตรง ทว่ายังคงการควบคุมอย่างเหนียวแน่นในเรื่องที่ว่าใครจะได้รับอนุญาตให้ลงสมัคร โดยสงวนอำนาจในการเสนอชื่อผู้ที่จะเข้าแข่งขันได้ให้อยู่ในมือของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่มีสมาชิก 1,200 คน
ขบวนการร่มยุติลงในแบบที่ไม่ได้มีข้อสรุปอันชัดเจน เรื่องนี้ทำให้ทั้งสองฝ่าย คือ ฮ่องกง และปักกิ่ง อยู่ในอารมณ์ความรู้สึกที่ขุ่นเคืองและอึมครึม ปักกิ่งดูเหมือนไม่ได้เอาใจใส่อะไรมากมายอีกต่อไปแล้วในเรื่องที่ต้องพยายามทำตัวให้เป็นที่น่ารักของดินแดนแห่งนี้ ในเอกสาร “สมุดปกขาว” ซึ่งออกมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2014 โดยมีน้ำเสียงเหมือนกับเป็นการตำหนิข่มขู่อย่างเป็นทางการนั้น ปักกิ่งบอกว่าการปกครองตนเองของฮ่องกงไม่ได้เป็นสิทธิ ทว่าเป็นสิ่งซึ่งสามารถยกเลิกไปเมื่อใดก็ได้ ถ้าหากรัฐบาลกลางรู้สึกว่าอำนาจรับผิดชอบของตนกำลังถูกคุกคาม
ความล้มเหลวของขบวนการร่มก็มีผลกระทบอย่างล้ำลึกต่อประชาชนฮ่องกง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนวัยหนุ่มวัยสาว พวกเขาดูเหมือนไม่มีความสนใจใยดีอีกต่อไปแล้วในการต่อสู้ตามแบบอุดมการณ์เสรีนิยมดั้งเดิมทั้งหลายในดินแดนนี้ – เป็นต้นว่าการรณรงค์เลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติและผู้บริหารสูงสุดของมหานครแห่งนี้-- ซึ่งได้เคยเป็นแรงกระตุ้นจูงใจผู้คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเขามาเป็นเวลากว่า 20 ปี หนุ่มสาวเหล่านี้จำนวนมากถอยหนีหลบฉากเข้าไปสู่แนวความคิดลัทธิท้องถิ่นนิยม (localism) ประเภทสุดโต่ง ตัวอย่างเช่น คัดค้านการใช้ภาษาจีนกลาง และเรียกร้องให้ใช้ภาษาถิ่น ซึ่งก็คือภาษากวางตุ้ง
พวกเขาจัดตั้งพรรคและกลุ่มการเมืองขึ้นมาโดยใช้ชื่ออย่างเช่น พรรคชนพื้นเมืองฮ่องกง (Hong Kong Indigenous Party), พรรคอิสรภาพฮ่องกง (Hong Kong Independence Party), พรรคพลเมืองอารมณ์แรงกล้า (Civic Passion), พรรคเดโมซิสโต (Demosisto) บางคนเข้าร่วมในการจลาจลเทศกาลตรุษจีนปี 2016 ที่ย่านมงก็อก (Mongkok) ซึ่งถือเป็นเหตุไม่สงบครั้งรุนแรงที่สุดในฮ่องกง ภายหลังเหตุรุนแรงจากแรงกระเซ็นกระสายในดินแดนนี้ของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในจีนเมื่อปี 1967 มันช่างดูเหมือนอยู่ห่างไกลเหลือเกินจากวันเวลาอันสงบสุขของการประท้วงต่อต้านมาตรา 23 ในปี 2003
เวลามักโถมทับสร้างแรงกดดันต่อฮ่องกงเสมอมา เมื่อผมมาถึงที่นี่ในปี 1987 นั้น กำหนดการส่งมอบอำนาจในปี 1997 ดูเหมือนช่างห่างไกลจนไม่ต้องคำนึงถึง แต่แล้วปีเดือนก็เคลื่อนคล้อยไปอย่างรวดเร็วชั่วพริบตา คำมั่นสัญญาของจีนที่จะเคารพยึดมั่นให้ฮ่องกงปกครองตนเองในฐานะเขตบริหารพิเศษไปเป็นเวลา 50 ปีภายหลังการส่งมอบอำนาจแล้ว เมื่อก่อนมันเคยดูเหมือนกับเป็นอะไรบางอย่างในอนาคตอันไกลโพ้น แต่แล้วเราก็ได้ผ่านช่วงเวลาดังกล่าวมาแล้ว 20 ปี ในตอนที่ครบ 50 ปี ซึ่งก็คือในปี 2047 นั้น พวกคนหนุ่มคนสาวจำนวนมากที่เคยเข้าร่วมในขบวนการร่มจะมีอายุย่างเข้าวัยกลางคนอันกระฉับกระเฉงมีพลัง
ในช่วงปีแรกๆ นั้นพวกเราแทบทั้งหมดต่างทึกทักสันนิษฐานกันว่าปักกิ่งจะรู้สึกสบายอกสบายใจในการต่ออายุการปกครองตนเองของฮ่องกงออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทว่ามาถึงเวลานี้มันไม่ได้มีความมั่นอกมั่นใจอะไรเช่นนี้กันอีกแล้ว
ท็อดด์ โครเวลล์ ทำงานในตำแหน่งนักเขียนอาวุโสของนิตยสารเอเชียวีก (Asiaweek) อยู่ 16 ปี เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Farewell My Colony, Last years in the life of British Hong Kong ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นใหม่เป็นเอดิชั่นวาระครบรอบ 20 ปี โดยสำนักพิมพ์แบล็กสมิธบุ๊กส์ (Blacksmith Books)
One country two systems a pragmatic model
By Ken Moak
17/07/2017
โมเดล “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ที่จีนนำมาใช้กับฮ่องกงในช่วงเวลา 20 ปีนับตั้งแต่ได้รับมอบดินแดนนี้คืนจากสหราชอาณาจักร ถึงแม้ไม่ได้มีความสมบูรณ์แบบ แต่มันก็เป็นวิธีการที่ให้ผลดีในทางปฏิบัติและสอดคล้องกับความเป็นจริงในการนำเอาแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน/ฮ่องกง/มาเก๊า กลับมารวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ จีนแผ่นดินใหญ่จะไม่มีทางยินยอมปล่อยให้ดินแดนทั้งสามนี้ไม่ว่าแห่งไหนก็ตาม ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการเป็นอันขาด
โมเดล “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ถึงแม้ไม่ได้มีความสมบูรณ์แบบ แต่มันก็เป็นวิธีการที่ให้ผลดีในทางปฏิบัติและสอดคล้องกับความเป็นจริงในการนำเอาแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน/ฮ่องกง/มาเก๊า กลับมารวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง โมเดลนี้เปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายมีเวลา (50 ปีหรือยาวนานกว่านั้น) ที่จะเสาะแสวงหาหนทางแก้ไขต่างๆ ซึ่งสามารถที่จะลดช่วงห่างแห่งการพัฒนา –ทั้งในทางเศรษฐกิจ, การเมือง, สังคม, และวัฒนธรรมที่มีอยู่ระหว่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว จีนแผ่นดินใหญ่จะไม่มีทางยินยอมปล่อยให้ดินแดนทั้งสามนี้ไม่ว่าแห่งไหนก็ตาม ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการเป็นอันขาด
ประวัติความเป็นมาของทฤษฎี “หนึ่งประเทศ สองระบบ”
วลี “หนึ่งประเทศ สองระบบ” นี้ ว่ากันว่ามีต้นกำเนิดในช่วงสิ้นสุดของสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง กับฝ่ายชาตินิยม (ก๊กมิ่นตั๋ง) ของเจียง ไคเช็ค แทนที่จะให้สงครามความขัดแย้งดำเนินต่อไป ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะดึงเอาสหรัฐฯหรือญี่ปุ่นเข้ามาอยู่ในการทะเลาะวิวาทนี้ และก่อให้เกิดความเสียหายและความทุกข์ยากลำบากเพิ่มมากขึ้นไปอีก เหมาก็ตัดสินใจให้สงครามยุติลง เป็นที่เชื่อกันว่า จอมพลเย่ เจี้ยนอิง (Ye Jianying) เป็นผู้ที่กล่าวว่า มันไม่ใช่ “เรื่องใหญ่โตอะไร” ถ้าหากจีนจะมี 2 ระบบ ตราบใดที่ไต้หวันไม่ได้ผละออกไปจาก “ครอบครัว”
การตัดสินใจไม่นำเอาไต้หวันมารวมกับแผ่นดินใหญ่โดยใช้กำลังเช่นนี้ ได้รับการพิสูจน์ยืนยันแล้วว่าสามารถให้ผลในทางปฏิบัติและก็ฉลาดหลักแหลม ถึงแม้การรวมชาติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอาจต้องเลื่อนเวลาออกไปจนถึงอนาคตอันไกลโพ้น ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มั่งคั่งรุ่งเรืองขึ้นมาจากการมีช่วงระยะเวลาที่มีเสถียรภาพอย่างยาวนาน ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ขึงตึงเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
แบบแปลนหนึ่งประเทศ สองระบบสำหรับฮ่องกง
สนธิสัญญาหนานจิงปี 1842 (The Treaty of Nanjing 1842) บังคับให้ราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty) ต้องยอมสละเกาะฮ่องกงและดินแดนส่วนใต้ของฝั่งเกาลูน (Kowloon) ให้แก่สหราชอาณาจักรไปอย่างถาวรตลอดกาล ในเวลาต่อมามหาอำนาจจักรวรรดินิยมรายนี้ยังบังคับให้รัฐบาลราชวงศ์ชิงต้องลงนามในอนุสัญญาเพื่อการขยายดินแดนฮ่องกง (Convention for the Extension of Hong Kong Territory) หรือที่เรียกกันว่า “อนุสัญญาปักกิ่งฉบับที่ 2” (Second Convention of Peking) เมื่อปี 1898 ซึ่งสาระสำคัญคือการให้สหราชอาณาจักรเช่าดินแดนทั้งหมดของเกาลูนและนิวเทอร์ริทอรีส์ (New Territories) เป็นระยะเวลา 99 ปี โดยที่วันครบกำหนดหมดอายุคือวันที่ 30 มิถุนายน 1997
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 มีพ่อค้านักธุรกิจชาวสหราชอาณาจักรและพ่อค้านักธุรกิจชาวจีนบางส่วน พยายามล็อบบี้รัฐบาลสหราชอาณาจักรให้รักษาสถานะเดิมเอาไว้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้การปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของพวกเขาในอาณานิคมแห่งนี้ ในปี 1982 มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ (Margaret Thatcher) นายกรัฐมนตรีของสหราชอาณาจักรได้เดินทางไปยังประเทศจีน โดยเรียกร้องให้จีนเคารพข้อความในมาตราต่างๆ ของสนธิสัญญาหนางจิง, อนุสัญญาปักกิ่งฉบับที่ 2, ตลอดจนสนธิสัญญาฉบับอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม เติ้ง เสี่ยวผิง (Deng Xiaoping) ผู้นำของจีนปฏิเสธ และรายงานข่าวระบุว่าเขาได้บอกกับแธตเชอร์ว่าจีนจะนำเอาฮ่องกงกลับคืนมาด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งอย่างแน่นอน เพื่อให้มั่นใจว่าแธตเชอร์เข้าใจข้อความนี้ เขาสั่งกองทหารจีนเข้าประจำการตามแนวชายแดนระหว่างแผ่นดินใหญ่กับฮ่องกง เติ้งทราบดีว่าสหราชอาณาจักรไม่ได้มีความเข้มแข็งทางทหารเพียงพอที่จะ “ขอดู” การบลั๊ฟของเขา เพราะทั้งสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสต้องร้องขอสหรัฐฯช่วยเหลือทางการทหาร ในระหว่างที่เกิดวิกฤตการณ์ คลองสุเอซ (Suez Canal crisis) ปี 1954
แธตเตอร์ได้แนะนำให้รัฐสภาสหราชอาณาจักรตกลงคืนฮ่องกงให้แก่จีน ซึ่งขมวดปมอยู่ที่การให้สัตยาบันแก่ปฏิญญาร่วมจีน-สหราชอาณาจักร (Sino-British Joint Declaration) ในปี 1984 ปฏิญญาฉบับนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานสำหรับการร่าง “กฎหมายพื้นฐาน” (Basic Law) หรือก็คือรัฐธรรมนูญของดินแดนฮ่องกง โดยที่ในกฎหมายพื้นฐานนี้ มีการระบุเชิดชูแบบแปลน “หนึ่งประเทศ สองระบบ” อย่างโดดเด่น โมเดลนี้เป็นการคำนึงถึงทั้งเรื่องช่วงห่างของการพัฒนาด้านต่างๆ ระหว่างสองฝ่าย และเรื่องคุณค่าที่ฮ่องกงมีต่อแผ่นดินใหญ่, รวมทั้งยังเป็นการเสนอแบบเทมเพลตสำหรับไต้หวันอีกด้วย
ระยะเวลากว่า 150 ปีที่ฮ่องกงอยู่ใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรในฐานะเป็นอาณานิคม ได้เปลี่ยนแปลงพลิกโฉมเศรษฐกิจ, การเมือง, และสังคมของดินแดนนี้ไปในวิถีทางต่างๆ ซึ่งไม่ได้ทาบสนิทเข้าร่องเข้ารอยเดียวกันกับเศรษฐกิจ, การเมือง, และสังคมของแผ่นดินใหญ่ มันจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งสำหรับการนำเอาทั้งสองฝ่ายนี้ปรับเข้าสู่แนวเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น แผ่นดินใหญ่ยังต้องการฮ่องกง เพราะดินแดนแห่งนี้มีสกุลเงินตราซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนกับสกุลอื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งมีภาคบริการที่อยู่ในระดับเวิลด์คลาส ซึ่งเปิดทางให้ฮ่องกงสามารถก้าวขึ้นสู่ระดับดีเลิศ ทั้งในด้านการค้าระหว่างประเทศและการเงินระหว่างประเทศ โดยที่ฮ่องกงได้มีส่วนช่วยเหลือแผ่นดินใหญ่ในการพัฒนาภาคบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาคสถานบริการ, โลจิสติกส์, การเงิน, และบริการอย่างอื่นๆ ดินแดนแห่งนี้ยังเป็นศูนย์กลางแห่งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ในเรื่องการลงทุนและการค้าต่างประเทศ ตลอดจนเป็นแหล่งที่มาแหล่งหนึ่งของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ
โมเดลนี้ยังใช้เป็นบททดลองสำหรับไต้หวันด้วย ประสบการณ์จากฮ่องกงเป็นการให้โอกาสแก่แผ่นดินใหญ่ในการปรับปรุงยกระดับแบบแปลน “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในเวลาที่สองฝ่ายพรักพร้อมที่จะกลับมารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
กฎหมายพื้นฐาน
กฎหมายพื้นฐาน ซึ่งประกาศใช้ในปี 1985 มีฐานะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับมินิของฮ่องกง กฎหมายนี้ให้การรับประกันระบบทุนนิยมของฮ่องกงและวิถีการดำเนินชีวิตในฮ่องกงเป็นระยะเวลา 50 ปี แต่ไม่ได้ให้สิทธิแก่ดินแดนแห่งนี้ในการควบคุมเรื่องการป้องกันประเทศหรือการดำเนินกิจการต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ระบุด้วยว่าจะไม่มีการนำเอาระบบสังคมนิยมในสไตล์ของแผ่นดินใหญ่เข้ามาบังคับใช้ปฏิบัติในฮ่องกง
อย่างไรก็ดี ปรากฏว่ามีบางคนบางฝ่ายในฮ่องกงแสดงการคัดค้านกระบวนการรวมดินแดนนี้กับแผ่นดินใหญ่เข้าด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง, กำลังบ่มเพาะฟูมฟักพรรคและกลุ่มการเมือง “ฝ่ายประชาธิปไตย”, และทำการเปลี่ยนแปลงในหลักสูตรการศึกษาที่ใช้ในฮ่องกง วิชาประวัติศาสตร์จีนได้กลายเป็นเพียง “วิชาเลือก” วิชาหนึ่ง แถมยังสอบผ่านได้อย่างลำบากยากเย็นสุดๆ บางคนบางฝ่ายในฮ่องกงจึงมีความเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเช่นนี้อาจจะด้วยเจตนารมณ์แฝงที่จะส่งอิทธิพลทำให้คนรุ่นหนุ่มสาวกลายเป็น “สหราชอาณาจักร” มากยิ่งขึ้น แล้วในช่วงทศวรรษ 1990 ก็มีการจัดตั้ง “พรรคประชาธิปไตย” (Democratic Party) และกลุ่มองค์การต่างๆ ที่มุ่งส่งเสริมอุ้มชู “อุดมการณ์ประชาธิปไตย” หรือทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยได้รับเลือกตั้งเข้าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติของฮ่องกง หลู่ ผิง (Lu Ping) ซึ่งในตอนนั้นเป็นผู้รับผิดชอบของจีนเกี่ยวกับกิจการฮ่องกง/มาเก๊า ได้กล่าวประณาม คริส แพทเทิน (Chris Patten) ผู้ว่าการที่สหราชอาณาจักรแต่งตั้งมาปกครองอาณานิคมฮ่องกงเป็นคนสุดท้ายก่อนส่งมอบคืนให้จีนว่า “กำลังวางลูกระเบิดเวลาในฮ่องกง” รวมทั้งตราหน้าเขาว่า เป็น “คนบาปที่จะมีบาปติดตัวไปเป็นพันปี” (sinner of a thousand years)
จีนละเมิดไม่เคารพกฎหมายพื้นฐานหรือเปล่า?
แผ่นดินใหญ่ได้ละเมิดไม่เคารพกระทำตามกฎหมายพื้นฐานใช่หรือไม่? คำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปถามใคร สำหรับพวกกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “พวกนิยมประชาธิปไตย” เป็นต้นว่า ขบวนการร่ม (Umbrella Movement), กลุ่มรวมชาวประชาธิปไตย (Pan Democrats), และกลุ่มออคคิวพาย เซนทรัล (Occupy Central) แล้ว คำตอบคือแผ่นดินใหญ่ละเมิดกฎหมายพื้นฐานอย่างแน่นอน พร้อมกับกล่าวหาจีนด้วยว่ากำลังลิดรอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสิทธิทางประชาธิปไตยอื่นๆ ของฮ่องกง
แต่การกล่าวหาเช่นนี้มีปัญหา เพราะการดำรงคงอยู่ของพวกนักเคลื่อนไหว “นิยมประชาธิปไตย” เหล่านี้นี่เอง กลับเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันว่าแผ่นดินใหญ่ปฏิบัติตามกฎหมายพื้นฐาน พวกนักเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้กล่าวถ้อยคำวาทกรรมต่อต้านแผ่นดินใหญ่ของพวกเขาทั้งในฮ่องกงและในต่างแดนโดยที่มิได้ถูกผลสะท้อนกลับอะไร ทั้งรัฐบาลจีนและรัฐบาลฮ่องกงต่างก็ไม่ได้ยึดเอกสารสำหรับการเดินทางของพวกเขาเอาไว้ และไม่ได้ป้องกันห้ามปรามไม่ให้พวกเขากล่าวประณามว่าร้ายรัฐบาลจีนหรือรัฐบาลฮ่องกงต่อสาธารณชน
พวกกลุ่มต่อต้านการรวมฮ่องกงกับแผ่นดินใหญ่เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งทั้งหลาย (รวมทั้งพวกต่างชาติหลายประเทศ) ได้กล่าวหารัฐบาลจีนว่า กระทำการ “ลักพาตัว” ผู้จำหน่ายหรือผู้จัดพิมพ์หนังสือในฮ่องกงจำนวน 5 รายเมื่อปี 2015 โดยที่บุคคลเหล่านี้ไปปรากฏตัว “อย่างลึกลับเป็นปริศนา” ในแผ่นดินใหญ่ และถูกตั้งข้อหาว่ากำลังลักลอบนำนำเอาหนังสือต้องห้ามจากฮ่องกงเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตาม ลุ่ย โป๋ (Lui Bo) กับ เฉิง จี้ผิง (Cheng Jiping) ได้ร้องขอให้ตำรวจฮ่องกงยุติคดีเกี่ยวกับ “บุคคลสูญหาย” เหล่านี้ พร้อมกับสารภาพว่าพวกเขาเดินทางไปแผ่นดินใหญ่ด้วยตัวเอง ทางด้าน ลี โป๋ (Lee Bo) กล่าวว่าเขาเดินทางไปแผ่นดินใหญ่เพื่อชำระจิตสำนึกของเขาเองหลังจากการขับรถขณะเมาสุราและชนพลเมืองแผ่นดินใหญ่คนหนึ่งเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม หลัม วิงคี (Lam Wing-kee) ได้บอกพวกผู้สื่อข่าวในฮ่องกงว่า เขาถูกลักพาตัว, ถูกใส่กุญแจมือ, และถูกบังคับให้สารภาพผิด ทว่า ลี โป๋ ได้ปฏิเสธการกล่าวอ้างของหลัม
เมื่อวินิจฉัยความคิดความเห็นต่างๆ ซึ่งแสดงออกมาในรายงานข่าวและทัศนะต่างๆ ของชาวฮ่องกงที่อพยพไปพำนักอาศัยในเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ปรากฏว่าประชากรส่วนใหญ่ของดินแดนแห่งนี้ดูจะสนับสนุนการรวมประเทศชาติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง รวมทั้งคิดว่าแผ่นดินใหญ่ไม่ได้ละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายพื้นฐาน อันที่จริงแล้ว พวกเขาชี้ว่าฮ่องกงก็ยังคงมีความเป็นเสรีพอๆ กันกับในยุคที่เป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร ถ้าหากไม่ใช่มีเสรีภาพมากกว่าด้วยซ้ำไป อารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาเช่นนี้สะท้อนออกมาให้เห็นโดยหนึ่งในที่ปรึกษาคนสำคัญของแธตเชอร์ (และก็เข้าร่วมในการร่างกฎหมายพื้นฐานด้วย) นั่นคือ เคิร์ต ถง (Kurt Tong) กงสุลใหญ่สหรัฐฯในฮ่องกง ผู้ซึ่งให้ปากคำระบุว่า สภาพ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ดีสำหรับฮ่องกง
จีนคืออนาคตของฮ่องกง
เมื่อตอนที่สหราชอาณาจักรปกครองฮ่องกงอยู่นั้น พื้นที่ผืนใหญ่โตของดินแดนนี้เป็นสิ่งที่สหราชอาณาจักรเช่าไปจากจีน และได้มอบคืนพื้นที่ซึ่งเช่าไปนี้ ตลอดจนส่งคืนดินแดนขนาดย่อมๆ ในเกาลูนและเกาะฮ่องกงให้จีนในปี 1997 หากปราศจากนักท่องเที่ยว, การลงทุน, อาหาร, น้ำ, และผลประโยชน์อื่นๆ จากจีนแล้ว เศรษฐกิจของฮ่องกงก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้ ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าในทางกฎหมายหรือในทางเศรษฐกิจ ฮ่องกงก็ไม่สามารถที่จะแยกตัวออกไปจากจีนได้
ยิ่งกว่านั้น เป็นเรื่องที่สามารถอภิปรายถกเถียงกันได้ว่า พวกนักเคลื่อนไหว “นิยมประชาธิปไตย” นั้นเชื่อจริงๆ ในสิ่งที่พวกเขาป่าวร้องเทศนาหรือเปล่า เมื่อพิจารณาถึงการกระทำของพวกเขาตลอดจนสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต การจัดการประท้วงต่างๆ ของพวกเขาเพื่อก่อกวนเศรษฐกิจ, ระบบการเมือง, และสังคมนั้นเป็นสิ่งที่เฉียดใกล้ “ภาวะอนาธิปไตย” การไปให้ปากคำต่อต้านจีนทั้งต่อคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ของรัฐสภาสหรัฐฯและของรัฐสภาแคนาดาเพื่อที่จะเสริมกำลังความแข็งแกร่งให้แก่นโยบายต่อต้านจีนของประเทศต่างๆ เหล่านี้ ย่อมไม่ต่างอะไรกับการทรยศขายชาติ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีบางคนซึ่งไปให้ปากคำต่อหน้าคณะกรรมาธิการเหล่านี้ ถึงกับกล่าวยกย่องแก้ต่างให้แก่ระบอบปกครองอาณานิคมแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จของสหราชอาณาจักรอีกด้วย
มาร์ติน จาคส์ (Martin Jacques) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “When China Rules the World” กล่าวเอาไว้อย่างถูกต้องว่า จีนคืออนาคตของฮ่องกง พวกนักเคลื่อนไหว “เพื่อประชาธิปไตย” มีความรับผิดชอบที่จะต้องทำงานกับรัฐบาลประเทศต่างๆ เพื่อประคับประคองและส่งเสริมเพิ่มพูนความมีพลังอันคึกคักและความมั่งคั่งรุ่งเรืองของฮ่องกง
(ข้อเขียนซึ่งบุคคลภายนอกเป็นผู้ส่งเรื่องมาให้ ทางเอเชียไทมส์ไม่ขอรับผิดชอบทั้งต่อความคิดเห็น, ข้อเท็จจริง, หรือเนื้อหาด้านสื่อใดๆ ที่นำเสนอ)
เคน มวค สอนวิชาทฤษฎีเศรษฐกิจ, นโยบายภาคสาธารณะ, และกระแสโลกาภิวัตน์ในระดับมหาวิทยาลัยมาเป็นเวลา 33 ปี เขายังเป็นผู้เขียนร่วมของหนังสือเรื่อง China's Economic Rise and Its Global Impact (Palgrave McMillan, 2015) สำหรับหนังสือเล่มล่าสุดของเขาซึ่งใช้ชื่อว่า Developed Nations and the Impact of Globalization มีกำหนดจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Palgrave McMillan Springer ในปี 2017
หมายเหตุผู้แปล
นอกเหนือจากข้อเขียนของ เคน มวค แล้ว เนื่องในวาระครบรอบ 20 ปีที่ฮ่องกงกลับคืนมาเป็นของจีน ทางเอเชียไทมส์ยังได้เผยแพร่ข้อเขียนของ ท็อดด์ โครเวลล์ นักหนังสือพิมพ์อาวุโสชาวตะวันตกที่ทำงานอยู่ในเอเชียมายาวนาน แสดงมุมมองของเขาเกี่ยวกับระยะเวลา 2 ทศวรรษที่ผ่านไปนี้ จึงขอเก็บความนำมาเสนอเอาไว้ในที่นี้:
ธงทิว, พลุ, ดอกไม้ไฟ: 20 ปีแห่งความตึงเครียดในฮ่องกง
โดย ท็อดด์ โครเวลล์
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Flags, fireworks, flare-ups: 20 years of tension in Hong Kong
By Todd Crowell
30/06/2017
ในขณะที่ฮ่องกงและจีนมองย้อนหลังกลับไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่ฝ่ายแรกกลับคืนมาอยู่ในอธิปไตยของจีน ทั้งสองฝ่ายย่อมค้นพบว่าความหวาดกลัวอันเลวร้ายที่สุดของพวกเขานั้นไม่ได้มีมูลความจริงเลย แต่ทว่าความวาดหวังอย่างสดใสที่สุดของพวกเขาก็ไม่ได้รับการเติมเต็มให้สมบูรณ์เช่นเดียวกัน
เมื่อมีใครสักคนหนึ่งถามผมว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในฮ่องกงในรอบ 20 ปีนับตั้งแต่กลับคืนมาอยู่กับจีนในปี 1997 และการถอยจากไปของพวกสหราชอาณาจักร บ่อยครั้งทีเดียวที่ผมตอบว่า คุณสามารถมองเห็นธงสีแดงโบกสะบัดเยอะแยะไปหมด (จำนวนมากที่สุดเป็นธงฮ่องกงด้วย ไม่ใช่ธงชาติจีน) แล้วนอกจากนั้นพวกเขายังได้เปลี่ยนสีตู้ไปรษณีย์ของการไปรษณีย์หลวง (Royal Mail) ที่เคยเป็นสีแดง ให้เป็นสีเขียวของ “การไปรษณีย์ฮ่องกง” (Hong Kong Post)
พูดอย่างนี้อาจฟังดูเหมือนการเล่นลิ้นเพื่อกระเซ้าเย้าแหย่ แต่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อดูจากภายนอกมันแทบไม่ค่อยได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรให้เห็นนักหรอก ขบวนรถรางยังคงแล่นไปตามถนนสายต่างๆ ซึ่งตั้งชื่อตามนามของพวกข้าหลวงผู้ว่าการในยุคอาณานิคม อนุสาวรีย์ของสมเด็จพระราชินีวิกทอเรีย (Queen Victoria) ยังคงทรงประทับนั่งและทอดสายพระเนตรอย่างเงียบสงบไปยังเทือกเขา อยู่ภายในสวนสาธารณะซึ่งตั้งชื่อตามพระนามของพระองค์ บรรดาทนายความว่าความในศาลก็ยังคงเรียกเหล่าผู้พิพากษาในชุดแดง (เป็นสีจากเสื้อคลุมที่พวกเขาสวมอยู่ ไม่ใช่จากความศรัทธาทางการเมืองของพวกเขา) ด้วยคำว่า “your worship”
นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยแม้กระทั่งในระดับผิวเปลือกนอก ยังใครอีกหรือที่ยังคงจำได้ว่า ในเดือนตุลาคมของแต่ละปี หลายๆ ส่วนของฮ่องกงเคยถูกตกแต่งเป็นพวงพู่ระย้าด้วยธงจีนคณะชาติสีแดง-น้ำเงิน? ขณะที่เวลานี้มองเห็นกันว่า มันกลายเป็นความไม่ถูกต้องทางการเมือง --นี่พูดอย่างสถานเบาที่สุด— เสียแล้ว ที่จะประดับประดาด้วยทิวธงในทางพฤตินัยของไต้หวันเช่นนั้นในที่สาธารณะ
ผมยังมองเห็นสัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นๆ อีกด้วย เมื่อตอนที่ผมทราบเรื่องที่ร้าน จิมมี่ส์ คิตเชน (Jimmy’s Kitchen) ภัตตาคารระดับสถาบันในยุคอาณานิคม กำลังถูกขายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่เป็นชาวจีนรายหนึ่ง ตอนที่ นีล แมคเซนซี (Neil Mackenzie) เจ้าของผู้ดำเนินกิจการร้านแห่งนี้ กล่าวถึงเรื่องการขายกิจการ (นี่ต้องย้อนหลังไปในปี 2002) ได้มีการอ้างอิงคำพูดของเขาที่บอกว่า “ฮ่องกงได้เปลี่ยนแปลงไปเยอะมากในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา” โดยที่ไม่ได้แจกแจงว่าอะไรกันแน่ๆ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงไป นอกเหนือจากเรื่องที่ว่าดินแดนแห่งนี้ไม่ได้เป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักรอีกต่อไปแล้ว
ขณะที่ฮ่องกงและจีนมองย้อนหลังกลับไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ที่ฝ่ายแรกกลับคืนมาอยู่ในอธิปไตยของจีน ทั้งสองฝ่ายย่อมค้นพบว่าความหวาดกลัวอันเลวร้ายที่สุดของพวกเขานั้นไม่ได้มีมูลความจริงเลย แต่ทว่าความวาดหวังอย่างสดใสที่สุดของพวกเขาก็ไม่ได้รับการเติมเต็มให้สมบูรณ์เช่นเดียวกัน ประชาชนฮ่องกงนั้นแม้บางทีอาจจะด้วยความไม่เต็มใจ แต่พวกเขาก็จะต้องยอมรับว่าปักกิ่งไม่ได้ลิดรอนอิสรภาพต่างๆ ของพวกเขา ทว่าพวกเขาก็ยังคงรู้สึกผิดหวังกับการที่ความวาดหวังของพวกเขาที่จะได้รับประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ (ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้รับคำมั่นสัญญาเช่นนั้น) ยังคงมิได้กลายเป็นความจริงขึ้นมา
สำหรับในส่วนของปักกิ่งแล้ว พวกเขาจะต้องดีใจที่ฮ่องกงไม่ได้กลายเป็นฐานที่มั่นที่ต่างชาติใช้เพื่อล้มล้างบ่อนทำลายรัฐบาลกลางของแดนมังกร แต่ในเวลาเดียวกันมันก็จะต้องมีความรู้สึกหงุดหงิดผิดหวังแฝงฝังอยู่อย่างลึกๆ ต่อข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้คณะผู้นำของจีนได้รับความรักใคร่อะไรมากมายเลย ประชาชนฮ่องกงยังคงคิดคำนึงถึงตัวพวกเขาเองอันดับแรกสุดในฐานะที่เป็นชาวฮ่องกง และในอันดับสองที่อยู่ห่างออกไปไกล จึงคิดถึงในฐานะที่พวกเขาเป็นพลเมืองของจีน (หมายความถึงองคาพยพทางการเมืองที่รู้จักกันในนามว่าสาธารณรัฐประชาชนจีน) ไม่ว่าจะมีรายการแลกเปลี่ยนอย่างมากมายเพียงใด, การรณรงค์ขับดันตามคำขวัญแบบ “รักประเทศจีน รักฮ่องกง”, หรือการเปิดค่ายทหารจีนต้อนรับผู้เข้ามาเยี่ยมชม ก็ดูจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงเรื่องนี้
ความใกล้ชิดกันความคล้ายคลึงกันก็ไม่ได้ช่วยปรับปรุงยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนชาวฮ่องกง กับชาวจีนแผ่นดินใหญ่จำนวนเป็นแสนเป็นล้านคนซึ่งเดินทางมายังดินแดนแห่งนี้นับตั้งแต่ที่ประเทศจีนผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทาง (อันที่จริงนี่ก็เป็นความเคลื่อนไหวประการหนึ่งซึ่งมุ่งหมายที่จะสร้างความพอใจให้แก่ฮ่องกง ในระหว่างเกิดวิกฤตทางการเงินทั่วเอเชีย) เหตุการณ์บางอย่างบางประการ ซึ่งในตัวของมันเองเป็นเพียงเรื่องขี้ปะติ๋วเสียเหลือเกิน แต่ก็ได้ถูกนำมาขยายตีความกันจนเลยขอบเขต เป็นต้นว่า เมื่อตอนที่ โดลเช แอนด์ แกบานา (Dolce & Gabbana) ห้างแบรนด์เนมขายปลีกเสื้อผ้าแพงหรูของอิตาลี เปิดร้านใหม่เฉียบแสนสมาร์ตขึ้นบนถนน แคนตัน (Canton Road) อันจอแจในฝั่งเกาลูน มันก็กลายเป็นปัญหาวุ่นวายทีเดียวเมื่อทางผู้จัดการร้านพยายามห้ามปรามคนท้องถิ่นไม่ให้ถ่ายภาพดิสเพลย์หน้าต่างร้าน แต่ไม่ได้ห้ามผู้มาเยือนที่เป็นชาวแผ่นดินใหญ่ด้วย ปรากฏว่ามีผู้คนมากกว่า 1,000 คนทีเดียวออกมาชุมนุมที่หน้าร้านแห่งนี้เพื่อแสดงการประท้วง
ธุรกรรมในด้านอสังหาริมทรัพย์เวลานี้กล่าวกันว่า จำนวนถึงราว 40% เกี่ยวข้องโยงใยกับพวกผู้ซื้อที่เป็นคนแผ่นดินใหญ่ เรื่องนี้เพิ่มพูนผลกำไรให้แก่พวกเจ้าของที่ดินและนักพัฒนาโครงการ ทว่าราคาที่แพงทะยานขึ้นก็ทำให้ประชาชนฮ่องกงจำนวนมากขึ้นถูกกีดกันออกไป เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้ยินวลีว่า “ชนชั้นแซนด์วิช” (sandwich class) ซึ่งหมายถึงคนที่มั่งมีร่ำรวยเกินกว่าที่จะไปอยู่ตามอาคารเคหะสงเคราะห์ ทว่าก็ยังคงยากจนเกินกว่าที่จะซื้อห้องชุดอพาร์ตเมนต์ไหว) คนท้องถิ่นไม่น้อยยังพบว่าร้านบะหมี่เจ้าโปรดของพวกเขาต้องปิดกิจการลง เพื่อเปิดทางให้แก่ร้านค้าที่ขายนาฬิกาอิมพอร์ตสำหรับพวกนักท่องเที่ยวชาวจีน
จากนั้นก็มีโฆษณาอันฉาวโฉ่ว่าด้วย “ตั๊กแตน” ตีพิมพ์อยู่ใน “แอปเปิล เดลี่” (Apple Daily) หนังสือพิมพ์ภาษาจีนชั้นนำของดินแดนแห่งนี้ โฆษณาขนาดเต็มหน้าชิ้นนี้ทำเป็นภาพตั๊กแตนตัวยักษ์ตัวหนึ่งที่กำลังมองจ้องลงมาอย่างหิวกระหายขณะเกาะอยู่ยอดเขาที่ตั้งผงาดอยู่เหนือฮ่องกง คำบรรยายใต้ภาพเขียนด้วยถ้อยคำระดมพลสู้ศึกว่า “ประชาชนฮ่องกงเอือมระอาเต็มทีแล้ว” คุณๆ ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่า ตั๊กแตนตัวนี้นั้นตั้งใจให้หมายถึงจีนแผ่นดินใหญ่ และชาวแผ่นดินใหญ่ที่มาเยือนฮ่องกง
ประชาชนฮ่องกงยังมีวลีมุ่งแสดงการมีฐานะที่สูงกว่าอยู่วลีหนึ่ง ซึ่งมีที่มาที่ไปจากตัวละครบ้านนอกคอกนาผู้หนึ่งในซีรีส์ละครโทรทัศน์ และได้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายกันอยู่พักหนึ่งทีเดียว เพื่อให้หมายถึงพวกนักท่องเที่ยวที่ไหลทะลักกันมาจากแผ่นดินใหญ่ วลีดังกล่าวคือ “อาชุน” (Ah Choon) มันก็เป็นวิธีการอย่างหนึ่งซึ่งชาวฮ่องกงใช้เพื่อแสดงอาการเหยียดๆ ต่อพวกเครือญาติผู้ยากจนซึ่งอยู่ทางตอนเหนือขึ้นไปของพวกเขา ในระยะหลายๆ ปีก่อนหน้าการส่งมอบฮ่องกงกลับมาเป็นของจีน เวลานี้พวกเขายังคงเห็นว่าชาวแผ่นดินใหญ่เป็นพวกบ้านนอกคอกนา เพียงแต่เป็นพวกบ้านนอกคอกนาที่ร่ำรวยเท่านั้น
โซซัดโซเซจากวิกฤตหนึ่งไปสู่อีกวิกฤตหนึ่ง
ฮ่องกงมีผู้บริหารสูงสุดเป็นชาวจีนมาแล้วรวม 3 คนในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา และไม่มีใครเลยที่สามารถเกาะกุมหัวจิตหัวใจของชาวฮ่องกงเอาไว้ได้ (หมายเหตุผู้แปล – ข้อเขียนชิ้นนี้เขียนขึ้นก่อนที่ แคร์รี หลัม Carrie Lam จะสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุดที่เป็นชาวจีนคนที่ 4 ของฮ่องกง ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2017) คนแรกที่สุดคือ ต่ง เจี้ยนหวา (หรือ ต่ง ชีหวา Tung Chee-hwa) ซึ่งถูกมองว่าเป็นคนที่มีความเป็นมิตรทว่ากระทำความผิดพลาดเนื่องจากขาดความสามารถ เป็นคนน่านับถือที่โชคร้ายเนื่องจากล้ำลึกยังไม่เพียงพอ ต่งแสดงให้เห็นตั้งแต่ตอนแรกๆ ทีเดียวว่าเขาไม่ได้มีทักษะทางการเมืองหรืออำนาจบุญบารมีที่จำเป็นสำหรับการบริเวณสถานที่อย่างฮ่องกง
ผู้ว่าการที่เป็นคนจีนคนที่ 2 คือ โดนัลด์ จาง (Donald Tsang) ซึ่งตอนแรกดูเหมือนกับเป็นยาถอนพิษที่สมบูรณ์แบบภายหลังประสบความผิดหวังจากต่ง เขาประกาศตัวเป็น “แบบฉบับของเด็กฮ่องกงแท้ๆ” โดยเกิดในฮ่องกง (ไม่เหมือนกับต่ง ซึ่งเกิดที่เซี่ยงไฮ้) และทำงานไต่เต้าขึ้นมาจากตำแหน่งต่างๆ ในระบบราชการพลเรือนของฮ่องกง จนขึ้นเป็นรัฐมนตรีคลัง (financial secretary) และต่อมาก็เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี (chief secretary) ช่วงเวลาที่เขามีผลงานสะดุดตาที่สุดคือในปี 1998 ตอนที่เป็นรัฐมนตรีคลัง ขณะที่วิกฤตการเงินเอเชียกำลังลงลึกย่ำแย่สุดๆ อยู่นั้น เขาก็จัดแจงโยนทิ้งหลักการต่างๆ ว่าด้วยระบบเศรษฐกิจเสรีที่รัฐไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแทรกแซงใดๆ แล้วใช้จ่ายเงินภาครัฐจำนวนหลายพันล้านเข้าไปซื้อหุ้นเพื่อเป็นการพยุงค่าสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง
การปฏิบัติการอย่างฉับพลันคราวนั้นช่วยรักษาชีวิตของสกุลเงินฮ่องกงไว้ได้ แถมยังทำให้รัฐบาลได้กำไรงามเมื่อนำหุ้นที่ซื้อไว้ออกขายในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม ระหว่างดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุดในวาระ 2 ซึ่งกำหนดสิ้นสุดลงในปี 2012 จางเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันในเรื่องฉาวโฉ่หลายต่อหลายเรื่อง รวมทั้งถูกกล่าวหาว่ารับของขวัญของกำนัลจากพวกมหาเศรษฐีเจ้าพ่อธุรกิจในรูปของการเดินทางท่องเที่ยวด้วยเรือยอชต์หรูและด้วยเครื่องบินส่วนตัวของเจ้าสัวเหล่านี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้เอง ศาลเพิ่งมีคำพิพากษาตัดสินในคดีของเขา โดยพิพากษาจำคุกเขาเป็นเวลา 20 เดือน ทำให้เขากลายเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในฮ่องกงที่ต้องติดคุก
ผู้บริหารสูงสุดคนที่ 3 ของฮ่องกง ได้แก่ เหลียง เจี้ยนอิง (หรือ เหลียง ชุนอิง Leung Chun Ying ) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในอักษรย่อว่า “ซีวาย” ในยุคของเขาดูเหมือนประชากรที่มีความตื่นตัวทางการเมืองอย่างสูงของฮ่องกง ไม่เคยยินยอมให้เขาได้มีเวลาหยุดพักหายใจอะไรมากมายเลย เขาขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ได้อย่างเฉียดฉิวภายหลังจาก เฮนรี ถัง (Henry Tang) หัวหน้าคณะรัฐมนตรีในตอนนั้น ซึ่งเป็นผู้สมัครที่เป็นตัวเก็งและได้รับไฟเขียวจากปักกิ่งแล้วด้วย ถูกกล่าวหาว่ากำลังก่อสร้างต่อเติมบ้านของตัวเองอย่างผิดกฎหมาย ตลอดระยะเวลาแห่งการเป็นผู้ว่าการของเหลียงนั้น เขาถูกตามกัดไม่ยอมปล่อยจากข้อกล่าวหาที่ว่าความจงรักภักดีอันดับหนึ่งของเขาคือต่อปักกิ่ง ไม่ใช่ต่อฮ่องกง บางคนบางฝ่ายกล่าวหาเขาว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นสมาชิกลับๆ ของพรรคคอมมิวนิสต์ (เรื่องที่แปลกประหลาดเอาการก็คือ การเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ยังคงถือเป็นความผิดตามกฎหมายในฮ่องกง)
เหลียงพยายามที่จะแก้ไขบรรเทาปัญหาบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนใจชาวฮ่องกงมาช้านาน เป็นต้นว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ทะยานขึ้นไปอย่างดุดัน เขาพยายามที่จะกำราบควบคุมเรื่องนี้ด้วยการจัดเก็บภาษีจากประดาคนแผ่นดินใหญ่ซึ่งกำลังโถมเข้ามากว้านซื้อจนทำเอาราคาขยับไม่หยุด รวมทั้งการสั่งห้ามสตรีมีครรภ์เดินทางเข้ามาคลอดบุตรในฮ่องกงเพื่อที่จะได้รับสิทธิบางอย่างบางประการ เช่น การพำนักอาศัยในดินแดนนี้ ทว่าก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จอะไรนัก แล้วการปฏิบัติการเหล่านี้ก็ไม่ได้มีอย่างไหนเลยที่ดูจะสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ยกระดับเรตติ้งความยอมรับจากสาธารณชนอันย่ำแย่ของเขาขึ้นมาได้
ในระยะเวลา 20 ปีนับแต่การส่งมอบอำนาจการปกครอง ฮ่องกงก็ผ่านประสบการณ์แห่งวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ๆ มารวม 3 ครั้งเช่นกัน ครั้งแรกคือการประท้วงของมวลชนเพื่อคัดค้าน มาตรา 23 ของกฎหมายพื้นฐาน หรือก็คือรัฐธรรมนูญฉบับย่อมๆ ของมหานครแห่งนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2003 เนื้อหาของมาตราที่เปรียบได้กับระเบิดเวลาลูกนี้ กำหนดผูกมัดให้ฮ่องกงต้องออกกฎหมายต่างๆ เพื่อใช้ในการปราบปราม “การล้มล้างบ่อนทำลาย” และพิทักษ์คุ้มครอง “ความลับต่างๆ ของรัฐ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกจำกัดความเอาไว้อย่างค่อนข้างกว้างขวางมากในประเทศจีน มาตรานี้ถูกพิจารณาว่ามีความอ่อนไหวยิ่งและมีศักยภาพที่จะทำลาย “ความเชื่อมั่น” ในอนาคตของดินแดนแห่งนี้ จนกระทั่งรัฐบาลต้องรอคอยอยู่เป็นเวลา 5 ปีก่อนที่จะเดินหน้าในเรื่องนี้ ทั้งนี้มีการขบคิดคาดการณ์กันว่าเมื่อเวลาผ่านไปขนาดนั้นแล้ว ประชาชนฮ่องกงก็น่าจะมีความสบายอกสบายใจขึ้นมากต่อประเทศจีนและเจตนารมณ์ของจีน แต่แล้วความเป็นจริงกลับพิสูจน์ให้เห็นว่าการคาดการณ์เช่นนี้เป็นการคาดคำนวณสถานการณ์ที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง
ประมาณกันว่ามีผู้คน 500,000 คน (ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่ใหญ่โตทีเดียวของจำนวนประชากรทั้งหมดในฮ่องกง) ออกมาเข้าร่วมการชุมนุมเดินขบวนครั้งมโหฬารเพื่อคัดค้านมาตรา 23 และคณะบริหารของ ต่ง โดยรวมด้วย วันนั้นอากาศร้อนและแดดแจ่ม และมีบรรยากาศแบบงานเทศกาล ผู้คนพากันออกมาสู่ท้องถนนพร้อมกับอุ้มลูกจูงหลานของพวกเขา แม้กระทั่งเด็กทารกที่ยังต้องนอนอยู่ในรถเข็น พวกเขาพากันเดินจากสวนสาธารณะวิกทอเรีย พาร์ก ไปยังอาคารสำนักงานรัฐบาลบนนถนนโลเวอร์ อัลเบิร์ต (Lower Albert Road) ภาพถ่ายจากทางอากาศที่นำออกเผยแพร่ทางทีวีในคืนนั้นมองดูแล้วช่างเหมือนกับเป็นคลื่นยักษ์สึนามึของผู้คนทีเดียว
20 ปีภายหลังการส่งมอบอำนาจ มาตรา 23 กลายเป็นประเด็นที่ตายสนิท ไม่ว่ารัฐบาลฮ่องกงหรือปักกิ่งต่างไม่ได้แสดงสัญญาณบ่งชี้ใดๆว่า พวกเขาตั้งใจที่จะรื้อฟื้นนำเอาหัวข้อนี้กลับขึ้นมาพูดจาผลักดันกันอีก การประท้วงซึ่งเป็นการเอ็กเซอร์ไซส์อย่างน่าตื่นตาตื่นใจของพลังประชาชน เป็นอันสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะ และชวนให้ชาวฮ่องกงฝันเฟื่องคิดนึกไปว่าการเผชิญหน้ากันต่อๆ ไปในอนาคตก็จะยุติลงในลักษณะซึ่งเป็นที่พออกพอใจของพวกเขาเช่นนี้อีก และแล้วความคาดหมายดังกล่าวก็ถาโถมพลุ่งพล่านขึ้นในอีก 10 ปีต่อมาในความขัดแย้งที่ใหญ่โตขึ้นกว่าเดิม
วิกฤตการณ์ครั้งที่ 2 ในปี 2012 มีชนวนเหตุจากการที่รัฐบาลฮ่องกงพยายามอัดฉีดลัทธิรักชาติ (ซึ่งหมายถึงการสนับสนุนสาธารณรัฐประชาชนจีน) เข้าไปในหลักสูตรการเรียนการสอนเพิ่มขึ้นกว่าก่อนเป็นอย่างมาก เนื้อหาการเรียนการสอนใหม่ๆ ที่กำหนดให้นำมาใช้ มีทั้ง “แบบอย่างประเทศจีน” ซึ่งมุ่งหมายที่จะบรรยายให้เห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคการเมืองที่ก้าวหน้า, ไม่มีความเห็นแก่ตัว, และสามัคคีกัน ขณะเดียวกันก็วิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองแบบมีหลายพรรคว่าทำให้เกิดการกดขี่และสร้างความแตกแยก การตัดสินใจผลักดันเรื่องนี้เป็นการสะท้อนถึงความหงุดหงิดไม่พอใจที่กำลังเพิ่มทวีขึ้นในปักกิ่ง ต่อการที่โรงเรียนต่างๆ ในฮ่องกงยังไม่ได้ทำอะไรให้มากเพียงพอที่จะอบรมบ่มเพาะส่งเสริมลัทธิรักชาติและความรักในมาตุภูมิบ้านเกิดเมืองนอน
การประท้วงคัดค้านการศึกษาเพื่อความรักชาติคราวนี้ สิ่งหนึ่งที่เตะตาคือเป็นครั้งแรกที่ปรากฏธงอาณานิคมสหราชอาณาจักรในหมู่ผู้ชุมนุมเดินขบวน ผมเกือบจะตกเก้าอี้เอาทีเดียวเมื่อตอนที่ผมเห็นภาพธงดังกล่าวนี้ในมือของผู้ประท้วงบางคนตีพิมพ์อยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ เป็นเรื่องยากที่จะขบคิดได้ว่าจะมีอะไรซึ่งจะสามารถสร้างความโกรธขึ้งให้แก่พวกผู้นำจีนได้มากไปกว่าการที่ประชาชนฮ่องกงยกย่องเชิดชูสัญลักษณ์ของลัทธิอาณานิคมเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าธงนี้จะยิ่งเพิ่มความสำคัญมากขึ้นไปอีกในการชุมนุมเดินขบวนครั้งต่อๆ ไปในอนาคต
วิกฤตการณ์ซึ่งถือเป็นครั้งร้ายแรงที่สุดในระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ย่อมต้องเป็น “ขบวนการร่ม” (Umbrella Movement) ของปี 2014 ซึ่งมีชื่อเรียกขานกันเช่นนั้นเนื่องจากผู้เดินขบวนใช้ร่มเป็นอุปกรณ์ป้องกันแก๊สน้ำตาและสเปรย์พริกไทย (แน่นอนล่ะ รวมทั้งป้องกันฝนที่ตกลงมาด้วย) การชุมนุมเดินขบวนคราวนี้เริ่มต้นขึ้นในเดือนกันยายน หลังจากที่ปักกิ่งเผยแพร่ข้อเสนอของตนเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้บริหารสูงสุดครั้งที่จะจัดขึ้นในปี 2017 ในข้อเสนอนี้ระบุให้ประชาชนผู้ออกเสียงไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันโดยตรง ทว่ายังคงการควบคุมอย่างเหนียวแน่นในเรื่องที่ว่าใครจะได้รับอนุญาตให้ลงสมัคร โดยสงวนอำนาจในการเสนอชื่อผู้ที่จะเข้าแข่งขันได้ให้อยู่ในมือของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่มีสมาชิก 1,200 คน
ขบวนการร่มยุติลงในแบบที่ไม่ได้มีข้อสรุปอันชัดเจน เรื่องนี้ทำให้ทั้งสองฝ่าย คือ ฮ่องกง และปักกิ่ง อยู่ในอารมณ์ความรู้สึกที่ขุ่นเคืองและอึมครึม ปักกิ่งดูเหมือนไม่ได้เอาใจใส่อะไรมากมายอีกต่อไปแล้วในเรื่องที่ต้องพยายามทำตัวให้เป็นที่น่ารักของดินแดนแห่งนี้ ในเอกสาร “สมุดปกขาว” ซึ่งออกมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2014 โดยมีน้ำเสียงเหมือนกับเป็นการตำหนิข่มขู่อย่างเป็นทางการนั้น ปักกิ่งบอกว่าการปกครองตนเองของฮ่องกงไม่ได้เป็นสิทธิ ทว่าเป็นสิ่งซึ่งสามารถยกเลิกไปเมื่อใดก็ได้ ถ้าหากรัฐบาลกลางรู้สึกว่าอำนาจรับผิดชอบของตนกำลังถูกคุกคาม
ความล้มเหลวของขบวนการร่มก็มีผลกระทบอย่างล้ำลึกต่อประชาชนฮ่องกง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนวัยหนุ่มวัยสาว พวกเขาดูเหมือนไม่มีความสนใจใยดีอีกต่อไปแล้วในการต่อสู้ตามแบบอุดมการณ์เสรีนิยมดั้งเดิมทั้งหลายในดินแดนนี้ – เป็นต้นว่าการรณรงค์เลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติและผู้บริหารสูงสุดของมหานครแห่งนี้-- ซึ่งได้เคยเป็นแรงกระตุ้นจูงใจผู้คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของพวกเขามาเป็นเวลากว่า 20 ปี หนุ่มสาวเหล่านี้จำนวนมากถอยหนีหลบฉากเข้าไปสู่แนวความคิดลัทธิท้องถิ่นนิยม (localism) ประเภทสุดโต่ง ตัวอย่างเช่น คัดค้านการใช้ภาษาจีนกลาง และเรียกร้องให้ใช้ภาษาถิ่น ซึ่งก็คือภาษากวางตุ้ง
พวกเขาจัดตั้งพรรคและกลุ่มการเมืองขึ้นมาโดยใช้ชื่ออย่างเช่น พรรคชนพื้นเมืองฮ่องกง (Hong Kong Indigenous Party), พรรคอิสรภาพฮ่องกง (Hong Kong Independence Party), พรรคพลเมืองอารมณ์แรงกล้า (Civic Passion), พรรคเดโมซิสโต (Demosisto) บางคนเข้าร่วมในการจลาจลเทศกาลตรุษจีนปี 2016 ที่ย่านมงก็อก (Mongkok) ซึ่งถือเป็นเหตุไม่สงบครั้งรุนแรงที่สุดในฮ่องกง ภายหลังเหตุรุนแรงจากแรงกระเซ็นกระสายในดินแดนนี้ของการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในจีนเมื่อปี 1967 มันช่างดูเหมือนอยู่ห่างไกลเหลือเกินจากวันเวลาอันสงบสุขของการประท้วงต่อต้านมาตรา 23 ในปี 2003
เวลามักโถมทับสร้างแรงกดดันต่อฮ่องกงเสมอมา เมื่อผมมาถึงที่นี่ในปี 1987 นั้น กำหนดการส่งมอบอำนาจในปี 1997 ดูเหมือนช่างห่างไกลจนไม่ต้องคำนึงถึง แต่แล้วปีเดือนก็เคลื่อนคล้อยไปอย่างรวดเร็วชั่วพริบตา คำมั่นสัญญาของจีนที่จะเคารพยึดมั่นให้ฮ่องกงปกครองตนเองในฐานะเขตบริหารพิเศษไปเป็นเวลา 50 ปีภายหลังการส่งมอบอำนาจแล้ว เมื่อก่อนมันเคยดูเหมือนกับเป็นอะไรบางอย่างในอนาคตอันไกลโพ้น แต่แล้วเราก็ได้ผ่านช่วงเวลาดังกล่าวมาแล้ว 20 ปี ในตอนที่ครบ 50 ปี ซึ่งก็คือในปี 2047 นั้น พวกคนหนุ่มคนสาวจำนวนมากที่เคยเข้าร่วมในขบวนการร่มจะมีอายุย่างเข้าวัยกลางคนอันกระฉับกระเฉงมีพลัง
ในช่วงปีแรกๆ นั้นพวกเราแทบทั้งหมดต่างทึกทักสันนิษฐานกันว่าปักกิ่งจะรู้สึกสบายอกสบายใจในการต่ออายุการปกครองตนเองของฮ่องกงออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทว่ามาถึงเวลานี้มันไม่ได้มีความมั่นอกมั่นใจอะไรเช่นนี้กันอีกแล้ว
ท็อดด์ โครเวลล์ ทำงานในตำแหน่งนักเขียนอาวุโสของนิตยสารเอเชียวีก (Asiaweek) อยู่ 16 ปี เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Farewell My Colony, Last years in the life of British Hong Kong ซึ่งจัดพิมพ์ขึ้นใหม่เป็นเอดิชั่นวาระครบรอบ 20 ปี โดยสำนักพิมพ์แบล็กสมิธบุ๊กส์ (Blacksmith Books)