มาร์เก็ตวอตช์/รอยเตอร์ - ราคาน้ำมันในวันศุกร์ (14 ก.ค.) ปิดบวกเล็กน้อย จากปัญหาทางอุปทานที่ไนจีเรีย ส่วนวอลล์สตรีทพุ่งขึ้น หลังข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนแอ ทำให้โอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ลดลง ขณะที่ทองคำแตะระดับสูงสุดในรอบเดือน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 46 เซ็นต์ ปิดที่ 46.54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 49 เซ็นต์ ปิดที่ 48.91 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันวานนี้ เป็นผลจากรายงานข่าวเมื่อช่วงค่ำวันพฤหัสบดี (13 ก.ค.) ที่ระบุว่า ไนจีเรียประกาศเหตุสุดวิสัย ต้องระงับการส่งมอบน้ำมันดิบบอนนี ไลต์ของพวกเขา หลังต้องปิดท่อลำเลียงแห่งหนึ่ง
ทั้งนี้ แม้ในรายงานข่าวไม่ได้อ้างถึงสาเหตุของการปิดท่อลำเลียงดังกล่าว แต่บ่อยครั้งที่โครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานในไนเจอร์ เดลตา มักถูกลอบก่อความเสียหายและลอบก่อวินาศกรรมโดยพวกนักรบกลุ่มต่างๆ
ด้านดาวโจนส์และเอสแอนด์พี500 ทุบสถิติตลอดกาลในวันศุกร์ (14 ก.ค.) หลังข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของอเมริกา กัดเซาะแนวโน้มที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 84.65 จุด (0.39 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 21,637.74 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 11.44 จุด (0.19 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,459.27 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 38.03 จุด (0.61 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 6,312.47 จุด
ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนมิถุนายน แต่ยอดค้าปลีกลดลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน บ่งชี้ว่า ภาวะเงินเฟ้อยังเซื่องซึมและก่อความกังวลว่าเศรษฐกิจไตรมาส 2 จะไม่แข็งแกร่งอย่างที่คาดหวัง
ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอดังกล่าว ส่งผลให้พวกนักวิเคราะห์มองว่าโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ลดลงเหลือ 48 เปอร์เซ็นต์ จากระดับ 55 เปอร์เซ็นต์ของช่วงบ่ายวันพฤหัสบดี (13 ก.ค.)
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค้าปลีกที่อ่อนแอและเงินเฟ้อที่ซึมเซา กระตุ้นให้นักลงทุนหันถือครองสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ และดันราคาทองคำในวันศุกร์ (14 ก.ค.) พุ่งแรง โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 10.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,227.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์