เอเอฟพี - คำสั่งแบนผู้ลี้ภัยและพลเมือง 6 ชาติมุสลิมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (29 มิ.ย.) ตามอำนาจของศาลสูงสุด หลังเผชิญกระแสคัดค้านอย่างหนักจากบรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนมานานถึง 5 เดือน
รัฐบาลทรัมป์ยืนยันว่าจำเป็นต้องนำมาตรการเช่นนี้มาบังคับใช้ชั่วคราวเพื่อสกัดกั้นผู้ก่อการร้าย และเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองได้มีเวลาคิดหามาตรการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพพอ แต่องค์กรช่วยเหลือผู้อพยพมองว่านี่คือการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อชาวมุสลิม
คำสั่งของ ทรัมป์ จะส่งผลให้พลเมืองอิหร่าน ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน ซีเรีย และเยเมน ถูกห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ เป็นเวลา 90 วัน และวอชิงตันยังงดรับผู้ลี้ภัยเข้าประเทศเป็นเวลา 120 วันด้วย โดยมีข้อยกเว้นให้เฉพาะบุคคลที่มี “ความสัมพันธ์ทางครอบครัวอย่างใกล้ชิด” กับผู้ที่พำนักอยู่ในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลตีความ “ความสัมพันธ์ใกล้ชิด” เอาไว้แคบเกินไป และไม่ครอบคลุมถึงความสัมพันธ์ระดับปู่ย่าตายาย, หลาน หรือลุงป้าน้าอา ขณะที่หลายคนเกรงว่าจะเกิดความสับสนอลหม่านขึ้นเหมือนตอนที่คำสั่งของทรัมป์ ถูกประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อเดือน ม.ค.
บรรดานักเคลื่อนไหวและทนายความได้ไปปักหลักรอช่วยเหลือผู้เดินทางขาเข้าที่สนามบิน จอห์น เอฟ. เคนเนดี ในนครนิวยอร์ก รวมถึงสนามบินนานาชาติอื่นๆ เพื่อให้มั่นใจว่า พลเมืองจาก 6 ชาติที่มีวีซ่าสหรัฐฯ อย่างถูกต้องจะได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศ หลังคำสั่งแบนเริ่มมีผลบังคับใช้ในเวลา 20.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น (ราว 07.00 น.วันนี้ (30) ตามเวลาในไทย)
กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิซึ่งถูกติเตียนอย่างหนักว่าคัดกรองผู้โดยสารขาเข้าอย่างไร้ประสิทธิภาพเมื่อเดือน ม.ค. ให้สัญญาว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่นในคราวนี้ โดยพลเมือง 6 ชาติที่สหรัฐฯ ออกวีซ่าให้ก่อนคำสั่งแบนเริ่มบังคับจะยังสามารถเดินทางเข้ามาได้ เช่นเดียวกับผู้ลี้ภัยที่ขึ้นทะเบียนถูกต้อง และซื้อตั๋วเดินทางมายังสหรัฐฯ ก่อนวันที่ 6 ก.ค.
แม้คำสั่งแบนชาวมุสลิมจะถูกนำมาบังคับใช้ได้เพียงบางส่วน แต่ก็ถือเป็นชัยชนะทางการเมืองสำหรับทรัมป์ ซึ่งเคยถูกศาลอุทธรณ์ยับยั้งคำสั่งเอาไว้ถึง 2 ครั้ง โดยอ้างว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญอเมริกันที่ปกป้องคนทุกศาสนา และยังเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตของประธานาธิบดี
องค์กรปกป้องสิทธิผู้อพยพและสมาชิกพรรคเดโมแครตส่วนใหญ่ยังประณามคำสั่งของทรัมป์ว่า “ผิดกฎหมาย” ส่วนข้อยกเว้นที่ศาลสูงสุดกำหนดขึ้นในคำพิพากษาเมื่อวันจันทร์ (26) ก็ยังไม่เป็นธรรมต่อผู้อพยพและชาวมุสลิมมากเท่าที่ควร
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้กำหนดแนวปฏิบัติไว้ว่า คำสั่งแบนจะมีข้อยกเว้นให้เฉพาะบุคคลที่มี “ความสัมพันธ์ทางครอบครัวอย่างใกล้ชิด” กับผู้ที่พำนักอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งได้แก่ บิดามารดา, คู่สมรส, บุตร-ธิดา, คู่หมั้น, ลูกเขย-ลูกสะใภ้, พี่น้อง, พี่น้องที่เป็นลูกติดของพ่อเลี้ยง-แม่เลี้ยง (step-siblings) และพี่น้องต่างพ่อ-ต่างแม่ (half-siblings) ทว่าไม่รวมถึงปู่ย่าตายาย, หลาน (ของปู่ย่าตายาย), ลุงป้าน้าอา, หลาน (ของลุงป้าน้าอา), ลูกพี่ลูกน้อง, พี่เขย-น้องเขย, พี่สะใภ้-น้องสะใภ้ หรือญาติฝ่ายใดก็ตามที่ห่างไกลออกไปมากกว่านี้
บุคคลที่มีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับองค์กรในสหรัฐฯ เช่น ได้รับการว่าจ้างเข้าทำงาน หรือถูกตอบรับเข้าเรียนหรือสอนในมหาวิทยาลัยต่างๆ จะยังสามารถขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ได้ตามปกติ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่จองโรงแรมในสหรัฐฯ ไว้ แม้จะชำระเงินค่าเข้าพักแล้วก็ตาม