เอเจนซีส์/รอยเตอร์/MGR ออนไลน์ - ข่าวการถึงแก่อสัญกรรมของ มานูเอล นอริเอกา (Manuel Noriega) อดีตเผด็จการปานามาได้รับการเปิดเผยจากแถลงการณ์ผ่านทางทวิตเตอร์ของประธานาธิบดี ฮวน คาร์ลอส วาเรลา (Juan Carlos Varela) วันนี้ (30 พ.ค.) แหล่งข่าวใกล้ชิดครอบครัวอดีตผู้นำระบุ นอริเอกาถึงแก่อสัญกรรมเมื่อมีอายุได้ 83 ปีเมื่อวานนี้ (29) อยู่ในขั้นโคม่าตั้งแต่เดือนมีนาคมล่าสุด หลังเข้ารับการผ่าตัดผ่าสมองโรคเนื้องอก
หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้ (30 พ.ค.) ว่า ในแถลงการณ์ทางทวิตเตอร์ในภาษาสเปนของผู้นำปานามา ฮวน คาร์ลอส วาเรลา (Juan Carlos Varela) วันนี้ (30) กล่าวว่า “การจากไปของ มานูเอล เอ. นอริเอกา เป็นการปิดบทแห่งประวัติศาสตร์ของชาติเรา ลูกสาวของเขา และครอบครัวสมควรต้องฝังชายผู้นี้อย่างสงบ”
ทั้งนี้ แหล่งข่าวใกล้ชิดครอบครัวอดีตผู้นำเผด็จการปานานา ได้ยืนยันกับเอพีว่า นอริเอกานั้นเสียชีวิตจริง
ซึ่งพบว่า ก่อนหน้านี้ตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา นอริเอกาต้องอยู่ในโคม่า หลังจากได้รับการผ่าตัดสมอง อ้างอิงจากข้อมูลแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่เปิดเผยชื่อ และชี้ต่อว่า อดีตผู้นำเผด็จการปานามาสิ้นใจในเวลา 23.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นในวันจันทร์ (23 พ.ค.) หลังจากอาการของนอริเอกาทรุดกะทันหัน
จากประวัติพบว่า มานูเอล นอริเอกา ปกครองปานามาตั้งแต่ 1983-1989 และได้เป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯให้ที่สอดแนมเพื่อช่วยเหลือหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ซึ่งในปีแรกของการอยู่ในอำนาจมีภาพการพบปะระหว่างตัวเขาและรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ บุช
โดยเดอะการ์เดียนระบุว่า นอริเอกาทำตัวให้เป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ ในช่วงยุคสงครามคอนทรา (Contra wars) โดยการอนุญาตให้สหรัฐฯ สามารถใช้ประเทศปานามาเพื่อเป็นฐานตั้งสอดแนม และช่วยสหรัฐฯในการต่อต้านรัฐบาลซ้ายจัดของนิการากัวในขณะนั้น และได้รับค่าตอบแทนจากสหรัฐฯเป็นเงินและอาวุธสำหรับสงครามคอนทรา เนื่องจากในเวลานั้นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โรนัลด์ เรแกน ต้องการต้องการบ่อนทำลายกองกำลังเคลื่อนไหวนิการากัว ซานดินิสตัส (Sandinistas)ที่ปกครองประเทศตั้งแต่ปี 1979-1990
แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วยปลายยุค 80 สหรัฐฯ ได้กลายเป็นศัตรูกับปานามา และบุกเข้าประเทศในปี 1989 โค่นล้มรัฐบาลเผด็จการของเขาลง รวมไปถึงหยุดอาชีพนักค้ายาเสพติดข้ามชาติของนอริเอกา ที่ทำให้ชายผู้นี้มีความใกล้ชิดกับเจ้าพ่อค้ายาเสพติดโคลอมเบียชื่อดัง พาโบล เอสโคบาร์ (Pablo Escobar) เดอะการ์เดียนรายงาน
ทั้งนี้พบว่า ในช่วง 20 ปีแรกหลังถูกสหรัฐฯ ยึดอำนาจ นอริเอกาได้ใช้ชีวิตภายในเรือนจำสหรัฐฯและฝรั่งเศส และรวมไปถึงในช่วงท้ายๆ ของชีวิต อดีตผู้นำเผด็จการต้องอยู่ในเรือนจำปานามาในคดีสังหารกลุ่มนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้ามเมื่อครั้งยังอยู่ในอำนาจ
เดอะการ์เดียนชี้ต่อว่า ในปี 2016 แพทย์ได้วินิจฉัยตรวจพบโรคเนื้องอกสมองที่ไม่เป็นเนื้อร้าย (benign brain tumour) ในลักษณะที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งถูกพบ 4 ปีก่อนหน้า และในเดือนมกราคม ศาลปานามาได้ตัดสินอนุญาตให้สามารถคุมตัวมานูเอล นอริเอกาในบ้านพักแทนเพื่อเตรียมสำหรับการผ่าตัดใหญ่
โดยก่อนหน้านี้รอยเตอร์รายงานในวันที่ 7 มี.ค.ปีนี้ว่า อดีตผู้นำเผด็จการปานามาอยู่ในภาวะโคม่ามาตั้งแต่วันอังคาร หลังเกิดปัญหาจากภาวะเลือดออกในเนื้อสมองหลังเข้ารับผ่าตัดก้อนเนื้องอกออก โดยลอเรนา หนึ่งในลูกสาวของนอริเอกาได้เปิดเผยบริเวณด้านนอกของโรงพยาบาลซานโต โตมาส (Santo Tomas) ซึ่งเป็นสถานที่อดีตผู้นำปานามาเข้ารับการผ่าตัด โดยชี้ว่าอาการของบิดาอยู่ในขั้นวิกฤต จากการที่เกิดปัญหาภาวะเลือดออกในสมองขั้นร้ายแรง ซึ่งเชื่อว่าปัญหาโรคความดันโลหิตสูงของนอริเอกานั้นอาจเป็นตัวการที่ทำให้เกิดภาวะเลือดออกในเนื้อสมอง หลังจากเข้ารับการผ่าตัดครั้งที่ 2 นานกว่า 8 ชม.
พบว่าในปี 2015 นอริเอกาได้ออกมาแถลงขออภัย โดยระบุว่า “ขออภัยต่อใครก็ตามที่รู้สึกขุ่นเคือง หรือได้รับผลกระทบ หรือได้รับความอับอายต่อการกระทำของข้าพเจ้า”
ทั้งนี้พบว่าอดีตผู้นำปานามานั้นอยู่ได้ด้วยภรรยา เฟลิซิดาด (Felicidad) และบุตรสาวทั้งสาม ลอเรนา (Lorena) เตย์ส์ (Thays) และซานดรา (Sandra)