เอเจนซีส์ - เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธพิสัยใกล้ข้ามไปตกในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของญี่ปุ่นอีกลูกในวันนี้ (29 พ.ค.) ซึ่งนับเป็นการยิงจรวดลูกที่ 3 ในรอบไม่กี่สัปดาห์ และเป็นลูกที่ 12 ของปี 2017 อันสะท้อนความจงใจท้าทายแรงกดดันและมาตรการคว่ำบาตรของประชาคมโลก เพื่อไปสู่เป้าหมายในการผลิตขีปนาวุธที่สามารถส่งหัวรบไปโจมตีสหรัฐอเมริกา
ประธานเสนาธิการทหารร่วมเกาหลีใต้แถลงวันนี้ (29) ว่า ขีปนาวุธเกาหลีเหนือเดินทางไปได้ไกลราวๆ 450 กิโลเมตร ขณะที่ โยชิฮิเดะ สุกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น บอกกับสื่อมวลชนว่า ขีปนาวุธโสมแดงดูเหมือนจะเข้ามาตกในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) 200 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งญี่ปุ่น
กองบัญชาการสหรัฐฯ ภาคแปซิฟิก ยืนยันว่า จรวดพิสัยใกล้ของโสมแดงพุ่งออกจากฐานยิงเป็นเวลา 6 นาที ก่อนจะตกลงสู่ทะเลญี่ปุ่น
การยิงทดสอบครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้ให้สัญญาไว้เมื่อวันศุกร์ (26) ว่า “ปัญหาใหญ่” เรื่องเกาหลีเหนือ “จะต้องได้รับการแก้ไข”
ระหว่างการประชุดสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ G7 ที่เกาะซิซิลีของอิตาลี ทรัมป์ ได้พบกับนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ แห่งญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นผู้นำประเทศที่เสี่ยงได้รับอันตรายจากขีปนาวุธเกาหลีเหนือมากที่สุด เช่นเดียวกับเกาหลีใต้
อาเบะ ออกมาแถลงประณามการยิงจรวดของเกาหลีเหนือในวันนี้ (29) พร้อมประกาศจะ “ตอบโต้อย่างเป็นรูปธรรม” ร่วมกับสหรัฐฯ
“เราจะไม่อดทนกับการยั่วยุซ้ำๆ ซากๆ ของเกาหลีเหนือ ซึ่งไม่เคยใส่ใจคำเตือนจากนานาชาติ... ที่ประชุม G7 เห็นพ้องกันว่า เกาหลีเหนือเป็นปัญหาหลักของประชาคมโลก และเพื่อที่จะป้องปรามเกาหลีเหนือ ญี่ปุ่นจะมีมาตรการตอบโต้อย่างเป็นรูปธรรมร่วมกับสหรัฐฯ” อาเบะ กล่าว
โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า ทรัมป์ ได้รับทราบเรื่องการยิงจรวดครั้งล่าสุดในเกาหลีเหนือแล้ว
แม้ผู้นำสหรัฐฯ จะขู่ใช้กำลังจัดการกับเกาหลีเหนือ แต่ล่าสุดรัฐมนตรีกลาโหม เจมส์ แมตทิส ได้กล่าวเตือนในบทสัมภาษณ์ที่เผยแพร่เมื่อวานนี้ (28) ว่า การทำสงครามกับรัฐโสมแดงอาจก่อ “หายนะ”
“เกาหลีเหนือสะสมปืนใหญ่ไว้เป็นจำนวนมาก และยังมีแท่นยิงขีปนาวุธที่สามารถโจมตีเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งก็คือเมืองหลวงเกาหลีใต้” เขาบอกกับซีบีเอสนิวส์
“ระบอบโสมแดงเป็นภัยคุกคามต่อทั้งภูมิภาค ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ และการทำสงครามจะก่อให้เกิดอันตรายต่อจีนและรัสเซียด้วยเช่นกัน”
“ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ หากเราไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ด้วยวิธีทางการทูต สงครามที่เกิดขึ้นจะก่อหายนะขั้นร้ายแรง”
แมตทิส ปฏิเสธที่จะพูดว่าการกระทำลักษณะใดของเปียงยางที่สหรัฐฯ จะถือว่า “ล้ำเส้น” โดยระบุแต่เพียงว่าวอชิงตันจำเป็นต้องมี “พื้นที่สำหรับกลยุทธ์ทางการเมือง”
ด้านประธานาธิบดี มุน แจอิน แห่งเกาหลีใต้ ก็ได้เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อประเมินผลการยิงจรวดของโสมแดง หลังจากที่เมื่อวานนี้ (28) เกาหลีเหนือเพิ่งประกาศว่าผู้นำ คิม จอง อึน ได้เดินทางไปควบคุมการทดสอบ “ระบบขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานตัวใหม่”
รัฐคอมมิวนิสต์โดดเดี่ยวแห่งนี้กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีจรวดที่จะสามารถส่งหัวรบนิวเคลียร์ไปโจมตีแผ่นดินใหญ่สหรัฐฯ ได้ ซึ่งการยิงทดสอบที่ไม่หยุดหย่อน ประกอบกับความเป็นไปได้ที่เกาหลีเหนือจะทดสอบนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 ในเร็วๆ นี้ ก็ทำให้หลายประเทศเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) คว่ำบาตรโสมแดงให้หนักกว่าเก่า อีกทั้งยังมีคำเตือนจาก ทรัมป์ ว่าสหรัฐฯ พร้อมพิจารณาใช้ปฏิบัติการทางทหารหยุดยั้งความห้าวของเกาหลีเหนือ
เมื่อต้นเดือนนี้ เปียงยางได้ยิงขีปนาวุธที่เชื่อกันว่ามีพิสัยเดินทางไกลที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยทดสอบมา จนคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นประกาศจะผลักดันให้ทุกประเทศใช้บทลงโทษทางเศรษฐกิจกับเกาหลีเหนือให้หนักขึ้น
อย่างไรก็ตาม จีนซึ่งเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจและพันธมิตรหลักหนึ่งเดียวของโสมแดงกลับแสดงจุดยืนชัดเจนว่าสนับสนุนวิธีเจรจาทางการทูตมากกว่าการคว่ำบาตร