xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus : บึ้มฆ่าตัวตายกลางคอนเสิร์ต “แมนเชสเตอร์” คร่า 22 ศพ อังกฤษยกระดับเตือนภัย “ขั้นสูงสุด”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

– ภาพผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต หลังคนร้ายกดระเบิดฆ่าตัวตายบริเวณประตูทางออก แมนเชสเตอร์ อารีนา
ชาวเมืองผู้ดีต้องอกสั่นขวัญแขวนกันอีกครั้ง หลังเกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตายกลางงานคอนเสิร์ตนักร้องสาวชาวอเมริกัน “อเรียนา แกรนเด” ที่เมืองแมนเชสเตอร์ของอังกฤษ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งล่าสุดที่ทำให้ทั่วโลกต้องตระหนักถึงภัยคุกคามจากพวก “หมาป่าโดดเดี่ยว” (lone wolf) ที่ยังยากจะป้องกันได้

นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ แห่งอังกฤษแถลงประณามผู้ก่อเหตุว่าลงมืออย่างโหดเหี้ยม โดยพุ่งเป้าเล่นงานเด็กๆ และคนหนุ่มสาว อีกทั้งจงใจเลือกเวลาและสถานที่ซึ่งจะทำให้เกิดการนองเลือดได้มากที่สุด

คนร้ายเลือกกดชนวนระเบิดฆ่าตัวตายบริเวณประตูทางออกของ “แมนเชสเตอร์ อารีนา” เมื่อเวลาประมาณ 22.30 น.ซึ่งเป็นช่วงที่คอนเสิร์ตจบลงพอดี และกลุ่มแฟนเพลงวัยรุ่นเริ่มทยอยเดินออกมาหาพ่อแม่ผู้ปกครองที่รอรับอยู่ด้านนอก

แรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 22 ราย บาดเจ็บกว่า 60 คน และนับเป็นเหตุโจมตีครั้งนองเลือดที่สุดของอังกฤษนับตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค.ปี 2005 ซึ่งสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ 4 คนได้กดระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีระบบขนส่งมวลชนของกรุงลอนดอนในช่วงเวลาเร่งด่วน จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 52 ศพ และบาดเจ็บกว่า 700 คน

กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้ออกมาประกาศอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุสังหารหมู่ครั้งล่าสุดที่แมนเชสเตอร์ ท่ามกลางเสียงประณามจากผู้นำทั่วโลก รวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งตราหน้าคนเหล่านี้ว่าเป็น “พวกขี้แพ้นิสัยเลว”

ทางด้านนักร้องสาว อเรียนา แกรนเด ซึ่งปัจจุบันอายุ 23 ปี ก็ได้โพสต์ข้อความทางทวิตเตอร์ว่า “ใจสลาย จากส่วนลึกสุดของหัวใจฉัน ฉันเสียใจเหลือเกิน พูดอะไรไม่ออก”

รัฐบาลอังกฤษประกาศยกระดับเตือนภัยจาก “ร้ายแรง” (severe) ขึ้นไปสู่ขั้น “วิกฤต” (critical) เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ตามคำแนะนำของหน่วยข่าวกรอง ขณะที่นายกรัฐมนตรี เมย์ ยอมรับว่า มีความเป็นไปได้สูงที่พวกอิสลามิสต์หัวรุนแรงจะลงมือโจมตีอังกฤษซ้ำอีก
ซัลมาน อาเบดี ชาวอังกฤษเชื้อสายลิเบียวัย 22 ปี ซึ่งกดระเบิดฆ่าตัวตายที่ แมนเชสเตอร์ อารีนา เมื่อค่ำวันที่ 22 พ.ค.
เมย์ ยังได้ประกาศใช้แผนรับมือก่อการร้ายซึ่งมีชื่อรหัสว่า “ปฏิบัติการเทมเพอเรอร์” (Operation Temperer) ซึ่งจะเปิดทางให้มีการระดมทหารถึง 5,000 นายเข้าคุมกันรักษาความปลอดภัยตามสถานที่สำคัญและแหล่งชุมชนที่เสี่ยงจะตกเป็นเป้าหมายของผู้ไม่หวังดี

“ตำรวจติดอาวุธซึ่งปฏิบัติหน้าที่คุ้มกันสถานที่สำคัญจะถูกแทนที่ด้วยทหาร และประชาชนอาจสังเกตเห็นว่ามีทหารเข้าไปรักษาความสงบเรียบร้อยตามงานกิจกรรมต่างๆ เช่น คอนเสิร์ต หรือการแข่งขันกีฬา” เมย์ กล่าว

ตำรวจอังกฤษได้ออกมาเผยตัวตนของมือระเบิดฆ่าตัวตายรายนี้ว่าเป็นชาวอังกฤษเชื้อสายลิเบีย วัย 22 ปี ชื่อ ซัลมาน อาเบดี เกิดเมื่อปี 1994 ที่เมืองแมนเชนเตอร์ โดยบิดามารดาเป็นชาวลิเบียที่อพยพมายังอังกฤษเพื่อหนีการกดขี่ของระบอบ มูอัมมาร์ กัดดาฟี

อาเบดี เคยเป็นนักศึกษาวิชาธุรกิจ แต่ได้ลาออกจากมหาวิทยาลัย และผันตัวไปรับแนวคิดอิสลามหัวรุนแรง

แอมเบอร์ รัดด์ รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยอังกฤษ ระบุว่า ชายคนนี้ถูกหน่วยงานความมั่นคงเพ่งเล็งอยู่ก่อนแล้ว และมีข้อมูลว่าเขาเพิ่งจะเดินทางกลับจากลิเบียก่อนลงมือก่อเหตุไม่นานนัก ขณะที่ เจราร์ด คอลโลมบ์ รัฐมนตรีมหาดไทยของฝรั่งเศส เผยว่าได้รับข้อมูลจากพนักงานสอบสวนอังกฤษว่า อาเบดี อาจจะเคยเดินทางไปซีเรียด้วย

ตำรวจอังกฤษได้เข้าตรวจค้นบ้านพักที่เชื่อว่า อาเบดี เคยอาศัยอยู่ ซึ่งจนถึงวันพฤหัสบดี (25 พ.ค.) ได้มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเกี่ยวโยงกับเหตุระเบิดแล้วอย่างน้อย 7 ราย ขณะที่บิดาและน้องชายของ อาเบดี ก็ถูกกองกำลังต่อต้านก่อการร้ายลิเบียจับกุมที่กรุงตริโปลี

โศกนาฏกรรมครั้งนี้ปลุกภาพความทรงจำจากเหตุโจมตีโรงคอนเสิร์ตบาตากล็องในกรุงปารีสเมื่อเดือน พ.ย.ปี 2015 ซึ่งกลุ่มคนร้ายที่มีทั้งปืนและเข็มขัดติดระเบิดได้บุกเข้าไปสังหารผู้บริสุทธิ์ถึง 90 ราย
เจ้าหน้าที่ความมั่นคงอังกฤษยืนคุ้มกันสถานที่สำคัญในกรุงลอนดอน
ก่อนหน้านี้ ไอเอสเคยออกมาอ้างผลงานกรณีผู้ก่อการร้ายขับรถพุ่งชนคนบนสะพานเวสต์มินสเตอร์ในกรุงลอนดอน และใช้มีดแทงตำรวจรัฐสภาจนเสียชีวิต 1 นาย เมื่อเดือน มี.ค.

เหตุวินาศกรรมซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งที่ปารีส นีซ บรัสเซลส์ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เบอร์ลิน และลอนดอน ยิ่งทำให้พลเมืองยุโรปเกิดความหวาดกลัว หลังจากกังวลเป็นทุนเดิมอยู่แล้วว่าการรับผู้อพยพนับแสนๆ คนเข้าประเทศอาจทำให้บ้านเมืองของพวกเขาต้องเสี่ยงอันตรายจากผู้ก่อการร้าย และลัทธิอิสลามสุดโต่ง

กลุ่มไอเอสได้เรียกร้องให้บรรดาสาวกลงมือโจมตียุโรป เพื่อแก้แค้นที่ประเทศเหล่านี้จับมือกับสหรัฐฯ เข้าแทรกแซงความขัดแย้งในซีเรียและอิรัก จนทำให้พวกเขาต้องสูญเสียดินแดนที่ยึดครองไว้เกือบหมดสิ้น

กลุ่มติดอาวุธท้องถิ่นที่มีสหรัฐฯ หนุนหลังสามารถขับไล่นักรบไอเอสออกไปเมืองโมซุลในอิรักได้เกือบทั้งหมดแล้ว ขณะที่ปฏิบัติการชิงคืนเมืองร็อกเกาะห์ในซีเรียซึ่งพวกไอเอสยกให้เป็น “เมืองหลวง” ของรัฐคอลีฟะห์ ก็คาดว่าจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

โรเบิร์ต เกตส์ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ในสมัยอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และ บารัค โอบามา ออกมาเตือนเมื่อวันอังคาร (23 พ.ค.) ว่า รัฐบาลตะวันตกจะต้องเตรียมตัวรับมือเหตุโจมตีคล้ายๆ ที่เมืองแมนเชสเตอร์ของอังกฤษ ซึ่งจะเกิดขึ้นอีกอย่างไม่ต้องสงสัย และไอเอสจะยกระดับการโจมตีในต่างแดนอย่างแน่นอนหลังจากที่สูญเสียพื้นที่ยึดครองในอิรักและซีเรีย

“การที่พวกไอเอสถูกขับไล่ออกจากดินแดนเหล่านั้นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาพ่ายแพ้ หรือละทิ้งอุดมการณ์ที่จะทำสงครามกับนักรบครูเสด” เกตส์ กล่าวในเวทีเสวนาที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.

“มันแค่แปลว่าพวกเขาจะเปลี่ยนกลยุทธ์ในการต่อสู้ใหม่เท่านั้น”
ชาวอังกฤษวางดอกไม้ไว้อาลัยให้เหยื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุโจมตีที่ แมนเชสเตอร์ อารีนา

กำลังโหลดความคิดเห็น