เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์ ขู่คำรามในวันพุธ (24 พ.ค.) ว่าจะบังคับใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่บนเกาะมินดาเนาอย่างที่ประกาศไปเมื่อหนึ่งวันก่อน สืบเนื่องจากกลุ่มอิสลามิสต์ติดอาวุธที่ภักดีต่อ “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) ก่อเหตุอาละวาดทั่วเมืองใหญ่แห่งหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศ โดยที่ได้ตัดหัวนายตำรวจคนหนึ่ง และบุกเข้าโบสถ์คริสต์จับตัวประกันพร้อมบอกจะสังหารคนเหล่านั้นทั้งหมด หากรัฐบาลไม่ยุติการส่งกองกำลังไล่ล่าพวกตน
ดูเตอร์เต ประกาศใช้กฎอัยการศึกเป็นเวลานาน 60 วันในมินดาเนา เกาะใหญ่ทางภาคใต้ที่มีประชากรราว 20 ล้านคนตั้งแต่เมื่อคืนวันอังคาร (23) หลังจากกลุ่มนักรบติดอาวุธที่ประกาศสวามิภักดิ์ต่อไอเอส ออกก่อเหตุโจมตีครั้งใหญ่ในวันเดียวกัน
ตามคำแถลงของดูเตอร์เตและพวกผู้ช่วยของเขา พวกนักรบติดอาวุธราว 100 คนได้ออกอาละวาดไปทั่วเมืองมาราวี ซึ่งมีประชากรราว 200,000 คนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม โดยได้จับบาทหลวงคนหนึ่งและบุคคลอื่นๆ ที่ไม่มีการระบุจำนวนจากโบสถ์คาทอลิกแห่งหนึ่งไปเป็นตัวประกัน พวกเขาได้จุดไฟเผาอาคารหลายหลัง และชักธงดำของไอเอสด้วย
ดูเตอร์เตกล่าวว่า นักรบติดอาวุธเหล่านี้ยังได้ตัดศีรษะผู้บังคับบัญชาตำรวจในท้องถิ่นคนหนึ่ง หลังจากจับตัวเขาได้ที่ด่านตรวจซึ่งพวกเขาจัดตั้งขึ้นมาบนถนสายหนึ่ง ทั้งนี้ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์แสดงความเดือดแค้นต่อสิ่งที่เขาระบุว่าเป็นภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากพวกนักรบหัวรุนแรงในมินดาเนาซึ่งประกาศตนเป็นพันธมิตรและสวามิภักดิ์ต่อไอเอส
“ผมจะไม่ลังเลเลยที่จะทำอะไรทุกๆ อย่างเพื่อเป็นการปกป้องคุ้มครองและปกปักรักษาประเทศชาติของชาวฟิลิปปินส์” ดูเตอร์เตกล่าว “ผมอาจจะประกาศใช้กฎอัยการศึกให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศเลยเพื่อปกป้องคุ้มครองประชาชน”
ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่กองกำลังความมั่นคงซึ่งปะทะกับพวกนักรบติดอาวุธที่เมืองมาราวี ในวันอังคาร (24) ได้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 3 คน และมีผู้บาดเจ็บอีก 12 คน ขณะที่ อาร์คบิชอป โซกราเตส วิลเลกัส ประธานสมาคมบาทหลวงคาทอลิกแห่งฟิลิปปินส์ ออกคำแถลงในวันพุธ (24) ระบุว่า สมาชิกกลุ่มมาอูเตได้บุกเข้าไปในโบสถ์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งทางใต้ของประเทศ และจับผู้ที่อยู่ในโบสถ์ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงบาทหลวงคนหนึ่งเป็นตัวประกัน พร้อมขู่ฆ่าตัวประกันทั้งหมด หากกองกำลังของรัฐบาลยังไม่ยุติการไล่ล่าพวกตน
“พี่น้องชาวฟิลิปปินส์อย่ากลัวกันเกินไป” ดูเตอร์เตแถลงจากกรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย ซึ่งเขาเพิ่งเริ่มต้นการเยือนอย่างเป็นทางการ แต่ต้องตัดกำหนดการให้สั้นลงและรีบบินกลับประเทศเพื่อจัดการกับวิกฤตในมินดาเนา
อย่างไรก็ดี ก่อนที่เขาจะกลับบ้าน ดูเตอร์เตได้มีโอกาสหารือกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของติน ในคืนวันอังคาร (24) ร่นเข้ามาจากกำหนดการเดิมที่ผู้นำทั้งสองจะพบปะกันในวันศุกร์ (26) ทั้งนี้ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ยังคงเน้นย้ำตั้งความหวังว่า รัสเซียจะช่วยเหลือจัดหาอาวุธทันสมัยเพื่อให้ฟิลิปปินส์ต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย
ดูเตอร์เตซึ่งทำสงครามปราบปรามยาเสพติดอย่างรุนแรงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปหลายพันคนและก่อให้เกิดการโต้เถียงกันมาก กล่าวเตือนว่า กฎอัยการศึกที่นำจะนำมาใช้นี้ จะ “ไร้ความปราณี” ทำนองการใช้กฎอัยการศึกในยุคสมัยของเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส ผู้นำเผด็จการที่ปกครองฟิลิปปินส์นานถึง 2 ทศวรรษก่อนถูก “พลังประชาชน” โค่นล้มในปี 1986
“กฎอัยการศึกของมิสเตอร์มาร์กอสนั้นดีมาก” ดูเตอร์เตกล่าว
ขณะที่พูดถึงกฎอัยการศึกเวอร์ชั่นของเขาเองว่า หมายถึงกองกำลังความมั่นคงสามารถที่จะเข้าตรวจคนและจับกุมประชาชนได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ
เขาบอกด้วยว่า จะมีการประกาศเคอร์ฟิวส์ หรือการห้ามประชาชนออกนอกบ้านในบางช่วงเวลา ในบางจังหวัดของเกาะมินดาเนา ขณะที่ดูเตอร์เตกล่าวไว้ในคลิปวิดีโอซึ่งเผยแพร่ทางออนไลน์โดยรัฐบาลว่า อาจขยายเวลาใช้กฎอัยการศึกในมินดาเนาออกไปเป็น 1 ปีหากจำเป็น
รัฐธรรมนูญฟิลิปปินส์ฉบับปัจจุบันระบุว่า ประธานาธิบดีสามารถประกาศใช้กฎอัยการศึกได้ไม่เกิน 60 วันเพื่อหยุดยั้งการรุกรานของต่างชาติ หรือเพื่อปราบปรามการก่อกบฏ แต่รัฐสภามีอำนาจที่จะยกเลิกมาตรการเช่นนี้ได้ภายในเวลา 48 ชั่วโมง ขณะเดียวกันศาลสูงสุดก็สามารถพิจารณาวินิจฉัยว่าการประกาศใช้นี้ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
ทางด้าน ฟรานซิส ปังกิลินัน วุฒิสมาชิกฝ่ายค้านที่เป็นประธานของพรรคเสรีนิยม แสดงความกังวลว่า กฎอัยการศึกอาจนำไปสู่การใช้อำนาจโดยมิชอบของกองทัพในรูปการใช้ศาลเตี้ยเหมือนในสมัยมาร์กอส
ทว่า เดลฟิน ลอเรนซานา รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ แถลงว่า กฎอัยการศึกจะช่วยให้กองกำลังของรัฐบาลทำการตรวจค้น จับกุม และควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเป็นสมาชิกกลุ่มกบฏได้เร็วขึ้น และเสริมว่า รัฐบาลอาจใช้มาตรการแข็งกร้าวในจังหวัดอื่นๆ ทางใต้ของประเทศที่เป็นแหล่งซ่องสุมของกลุ่มหัวรุนแรงเช่นเดียวกัน พร้อมยืนยันว่า สถานการณ์ในเมืองมาราวีและจุดอื่นๆ ที่มีปัญหาทางใต้ยังคงอยู่ในความควบคุมของรัฐบาล
เอ็ดการ์ อาเรวาโล โฆษกกองทัพฟิลิปปินส์ มองแง่ดีว่า จะสามารถยุติวิกฤตนี้และทำให้สถานการณ์คืนสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว พร้อมยืนยันว่า ขณะนี้ ยังไม่มีนักรบไอเอสจากอิรักและซีเรียแฝงตัวอยู่ในฟิลิปปินส์อย่างที่ดูเตอร์เตกังวล
สำหรับการต่อสู้ในเมืองมาราวี ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในเกาะมินดาเนา ปะทุขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันอังคาร (23) หลังจากกองกำลังความมั่นคงบุกบ้านหลังหนึ่งซึ่งเชื่อว่า อิสนิลอน ฮาปิลอน ผู้นำกลุ่มอาบูไซยาฟและไอเอสสาขาฟิลิปปินส์ กบดานอยู่
อเมริกาถือว่า ฮาปิลอนเป็นหนึ่งในผู้ก่อการร้ายอันตราย และเสนอรางวัลนำจับ 5 ล้านดอลลาร์
รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ ลอเรนซานาระบุว่า หลังการบุกจู่โจมดังกล่าว พวกหัวรุนแรงติดอาวุธที่เป็นกลุ่มมาอูเต จำนวนราว 100 คนออกมาตอบโต้ด้วยการไล่เผาตึก นำธงสีดำที่คล้ายกับธงไอเอสไปติดตามสถานที่ต่างๆ และใช้กลยุทธ์อื่นๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
ลอเรนซานาเสริมว่า มือปืนจำนวนมากซ่อนอยู่ในตึกเพื่อซุ่มยิงสมาชิกกองกำลังความมั่นคง
กลุ่มอาบูไซยาฟที่มีฐานอยู่บนเกาะทางใต้ลงมาจากเกาะมินดาเนานั้น ได้ลักพาตัวชาวฟิลิปปินส์และต่างชาติมาแล้วเป็นร้อยคนนับตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1990 เพื่อเรียกค่าไถ่ และอเมริกาขึ้นบัญชีกลุ่มนี้เป็นองค์การก่อการร้าย
นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงระบุว่า ฮาปิลอนกำลังพยายามรวบรวมกลุ่มติดอาวุธฟิลปปินส์ที่สวามิภักดิ์ต่อไอเอส ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงกลุ่มมาอูเตที่มีฐานอยู่แถวๆ เมืองมาราวีและต่อสู่กับกองทัพอย่างดุเดือดตลอดปีที่ผ่านมา
กบฏมุสลิมกลุ่มต่างๆ ในมินดาเนาพยายามต่อสู้เพื่อประกาศอิสรภาพหรือตั้งเขตปกครองตนเองมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 130,000 คน
อย่างไรก็ดี กลุ่มกบฏมุสลิมสำคัญหลายกลุ่มตกลงเข้าร่วมการเจรจาสันติภาพกับรัฐบาล แต่ยังมีอาบูไซยาฟ, มาอูเต และกลุ่มหัวรุนแรงอื่นๆ ที่ยืนกรานตั้งรัฐอิสลามทางใต้ของมินดาเนา
เมื่อเดือน รัฐบาลสหรัฐฯ และชาติตะวันตกออกคำเตือนว่า กลุ่มก่อการร้ายกำลังวางแผนลักพาตัวชาวต่างชาติจากแหล่งท่องเที่ยวบริเวณตอนกลางและตะวันตกของฟิลิปปินส์ เป็นการเพิ่มเติมจากคำแนะนำเดิมเกี่ยวกับความเสี่ยงในการถูกลักพาตัวในมินดาเนา