รอยเตอร์/เอเอฟพี - เกาหลีเหนือยิงทดสอบขีปนาวุธนำวิถีอีกในวันอาทิตย์ (21 พ.ค.) หนึ่งสัปดาห์หลังจากเพิ่งทดลองจรวดพิสัยกลางไปลูกหนึ่ง ซึ่งพวกผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นความก้าวหน้าในโครงการอาวุธของรัฐที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวรายนี้ ขณะเดียวกับที่จุดชนวนให้นานาชาติพากันประณามติเตียน รวมทั้งอาจผลักดันสหประชาชาติออกมาตรการลงโทษคว่ำบาตรอย่างรุนแรงและเข้มงวดยิ่งขึ้น
เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธลูกล่าสุดนี้เมื่อวันอาทิตย์ (21) เวลา 07.59 น.ตามเวลามาตรฐานกรีนิช (ตรงกับ 14.59 น.เวลาเมืองไทย) จากสถานที่ใกล้ๆ เมืองพุคชาง ห่างจากเมืองหลวงเปียงยางไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 60 กิโลเมตร อันเป็นพื้นที่ซึ่งโสมแดงได้เคยพยายามยิงทดสอบขีปนาวุธมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาทว่าประสบความล้มเหลว สำนักงานเสนาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้ระบุในคำแถลง
“พิสัยของเที่ยวการเดินทางนี้คือราว 500 กิโลเมตร และเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ กำลังวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมอย่างใกล้ชิด” คำแถลงนี้บอก
ในเวลาต่อมา สำนักข่าวเอเอฟพีอ้างคำกล่าวของเจ้าหน้าที่เกาหลีใต้ผู้หนึ่งซึ่งบอกว่า ขีปนาวุธที่เกาหลีเหนือยิงทดสอบในวันอาทิตย์ (21) นี้ สามารถไต่ขึ้นไปถึงระดับความสูงประมาณ 560 กิโลเมตร รูปร่างลักษณะของจรวดคล้ายคลึงกับแบบ พุคกูซอง-2 ซึ่งเป็นเวอร์ชันอัปเดตและขยายพิสัยทำการให้ไกลขึ้นของขีปนาวุธนำวิถีแบบยิงจากเรือดำน้ำของโสมแดง
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ออกคำแถลงประณามเกาหลีเหนือที่ยิงจรวดลูกล่าสุดนี้ว่า เป็นการกระทำที่ “ขาดความยั้งคิดและไร้ความรับผิดชอบ” ซึ่งทำลายความหวังที่จะมุ่งเดินหน้าสู่สันติภาพของรัฐบาลใหม่โสมขาว
ทั้งนี้ มุน แจอิน ประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ซึ่งมีแนวความคิดแบบเสรีนิยม เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยให้คำมั่นสัญญาที่จะใช้วิธีเข้าถึงเกาหลีเหนือแบบนุ่มนวลและมุ่งปรองดองขึ้นกว่ารัฐบาลอนุรักษนิยมชุดก่อน
สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานว่า ประธานาธิบดีมุนได้เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อพิจารณาสถานการณ์แล้ว
ทางด้าน โยชิฮิเดะ สุงะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซึ่งในระบบการเมืองของแดนอาทิตย์อุทัยจะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าโฆษกรัฐบาลด้วยและถือเป็นตำแหน่งที่มีอาวุโสสูงในคณะรัฐมนตรีนั้น แถลงว่า ขีปนาวุธนำวิถีของเกาหลีเหนือลูกล่าสุดนี้ ได้ตกลงในทะเลญี่ปุ่น บริเวณด้านนอกของเขตเศรษฐกิจจำเพาะ โดยไม่มีรายงานว่าสร้างความเสียหายแก่เรือหรือเครื่องบินใดๆ
ในเวลาต่อมา นายกรัฐมนตรีชินโซ อาบะ ได้ออกมาแถลงข่าวภายหลังเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติของญี่ปุ่นว่า การกระทำของโสมแดงครั้งนี้ คือ “การดูหมิ่นและการท้าทายความพยายามของนานาชาติที่จะหาหนทางแก้ไขปัญหาอย่างสันติ” พร้อมกับบอกด้วยว่า เขาต้องการหยิบยกเรื่องเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธนี้ขึ้นมาพูดกันในการประชุมซัมมิตของกลุ่ม 7 ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี 7) ซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่อิตาลีปลายเดือนนี้
ส่วนเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในคณะของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังเยือนซาอุดีอาระเบีย แถลงยืนยันว่า เกาหลีเหนือได้ทดสอบขีปนาวุธนำวิถีพิสัยกลาง แต่ดูเหมือนพยายามไม่ให้น้ำหนักอะไรนักแก่เรื่องนี้
“เราตระหนักดีว่าเกาหลีเหนือได้ยิง MRBM (ขีปนาวุธนำวิถีพิสัยกลาง) ลูกหนึ่ง ระบบนี้ซึ่งถูก (เกาหลีเหนือ) นำมาทดสอบครั้งสุดท้ายในเดือนกุมภาพันธ์ มีพิสัยทำการที่สั้นกว่าพวกขีปนาวุธที่เกาหลีเหนือยิงทดสอบ 3 ครั้งหลังสุด” เจ้าหน้าที่ผู้นี้กล่าวโดยขอไม่ให้เปิดเผยชื่อ
ครั้งนี้เป็นการยิงทดสอบขีปนาวุธครั้งที่ 2 ของเกาหลีเหนือแล้ว นับแต่ที่ประธานาธิบดีมุนเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 11 วันก่อน โดยที่ในทางเทคนิคแล้ว เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ยังมีฐานะเป็นคู่สงครามกันอยู่ เนื่องจากเพียงแค่ทำข้อตกลงหยุดยิงในสงครามเกาหลีที่พวกเขาสู้รบกันช่วงระหว่างปี 1950 ถึง 1953 แต่ยังไม่ได้ทำสัญญาสันติภาพ
สำหรับจรวดที่ทำการยิงทดสอบครั้งก่อนหน้านี้ คือเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมนั้น เป็นขีปนาวุธพิสัยกลางแบบ ฮวาซอง-12 ซึ่งเปียงยางอ้างว่าหลังจากยิงออกไปแล้ว สามารถพุ่งขึ้นไปในวิถีโค้งเป็นระยะทาง 787 กิโลเมตร จนกระทั่งถึงระดับความสูง 2,111.5 กิโลเมตร ซึ่งพวกผู้เชี่ยวชาญตะวันตกคำนวณว่า หากโสมแดงยิงด้วยวิถีโค้งมาตรฐานแล้ว ก็จะมีพิสัยทำการอย่างน้อย 4,000-4,500 กิโลเมตรทีเดียว
เปียงยางนั้นมีขีปนาวุธซึ่งมีพิสัยยิงไปถึงเป้าหมายต่างๆ ทั่วทั้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่นมานานแล้ว และด้วยพิสัยทำการของ ฮวาซอง-12 หมายความว่ายิงไปถึงฐานทัพสหรัฐฯบนเกาะกวม ในมหาสมุทรแปซิฟิก
นักวิเคราะห์ตะวันตกดูเหมือนยอมรับกันว่า ขีปนาวุธนำวิถีรุ่นนี้สามารถยิงไปได้ไกลกว่ารุ่นก่อนๆ ของโสมแดงจริงๆ อีกทั้งมองกันว่าการทดสอบในวันที่ 14 พ.ค. เป็นก้าวคืบหน้าก้าวสำคัญในการเพิ่มพูนสมรรถนะทางอาวุธของเกาหลีเหนือ ซึ่งพยายามเร่งรัดความพยายามที่จะพัฒนาขีปนาวุธนำวิถีข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) ซึ่งสามารถส่งหัวรบนิวเคลียร์ไปโจมตีดินแดนแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี สำหรับข้ออ้างของเปียงยางที่ระบุว่า ฮวาซอง-12 สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ “ขนาดหนัก” ด้วยนั้น เรื่องนี้ยังเป็นที่สงสัยข้องใจกันอยู่
ทีมทดสอบ 2 ทีม
ทางด้าน คิม ดองยับ ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารของสถาบันเพื่อตะวันออกไกลศึกษา มหาวิทยาลัยคยุงนัม ในกรุงโซล ให้ความเห็นในวันอาทิตย์ (21) ว่า เกาหลีเหนือดูเหมือนกำลังมีทีมงาน 2 ทีม ซึ่งทำงานในเวลาเดียวกันแต่แยกกันทดสอบและเพิ่มความสมบูรณ์ให้แก่ขีปนาวุธแบบที่ใช้เชื้อเพลิงแข็งและขีปนาวุธแบบที่ใช้เชื้อเพลิงเหลว ถ้าหากมองภาพเช่นนี้ก็น่าจะช่วยอธิบายได้ว่าทำไมฝีก้าวในการทดสอบของโสมแดงจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“ผมคิดว่าทีมที่ต้องพัฒนาขีปนาวุธเชื้อเพลิงเหลว กำลังแข่งขันกับทีมใช้เชื่อเพลิงแข็ง” คิมกล่าว “ทีมเชื้อเพลิงเหลวประสบความสำเร็จ (ในการทดสอบ) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ดังนั้นทีมเชื้อเพลิงแข็งจึงเดินหน้าทำการทดสอบอีกรอบหนึ่งเพื่อให้บรรลุความสำเร็จ นี่คือเหตุผลที่ทำไมอัตราความเร็วในการพัฒนาขีปนาวุธของเกาหลีเหนือจึงกำลังเดินหน้าไปได้ไกลกว่าที่จินตนาการกัน”