xs
xsm
sm
md
lg

'ตระกูลทรัมป์'สยายปีก ใช้ 'ทำเนียบขาว' ขยายจักรวรรดิธุรกิจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โนมิ พรินส์

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

The Age of Empire… Trump’s, not America’s
By Nomi Prins
05/05/2017

ผู้ลงคะแนนเลือกโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯนั้น ไม่เพียงหย่อนบัตรลงคะแนนให้แก่ตัวทรัมป์เท่านั้น หากยังได้รับดีลแบบยกแพกเกจ นั่นคือได้ผู้คนทั้งหมดในตระกูลของเขามาด้วย ทั้งนี้ ทรัมป์ พร้อมด้วยบุตรชายหญิงของเขาตลอดจนคู่สมรสของพวกเขาและเธอ กำลังทำงานในทำเนียบขาว เสมือนกับว่ามันเป็นกิจการสาขาใหม่เอี่ยมของจักรวรรดิธุรกิจของตระกูลทรัมป์

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พร้อมด้วยบุตรชายหญิงของเขาตลอดจนคู่สมรสของพวกเขาและเธอ ไม่ใช่เพียงแค่กำลังใช้ห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) ของทำเนียบขาว เพื่อเพิ่มพูนเสริมสร้างมรดกทางการเมืองของพวกเขา หรือเพื่อค้ำประกันความมั่งคั่งร่ำรวยในอนาคตของพวกเขาเท่านั้น โอเค แน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเขากำลังทำเรื่องอย่างที่ว่านี้ด้วย ทว่านั่นไม่ใช่วิธีที่จะใช้อธิบายได้ดีที่สุดสำหรับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมาในขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูมีเหตุมีผลขึ้นอีกเยอะถ้าคุณหันมาลองวาดภาพออกมาในแง่มุมใหม่ว่า ทำเนียบขาวในปัจจุบันเป็นกิจการสาขาใหม่เอี่ยมที่สุดของจักรวรรดิธุรกิจของตระกูลทรัมป์ เป็นด่านหน้าล่าสุดของตระกูลนี้

ผลปรากฏออกมาว่าผู้มีสิทธิออกเสียงซึ่งหย่อนบัตรลงคะแนนเลือกโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เป็นหัวหน้าของตระกูล ได้ดีลแบบยกแพกเกจกันเลย นั่นคือได้ผู้คนทั้งหมดในตระกูลของเขามาด้วย แน่นอนล่ะ นี่ย่อมต้องรวมถึง อิวองก้า (Ivanka) “บุตรสาวหมายเลขหนึ่ง” (first daughter) (first daughter)[1] ซึ่งเคียงคู่กับสามีของเธอ จาเรด คุชเนอร์ (Jared Kushner) เวลานี้ทั้งคู่ต่างกลายเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองคนสำคัญของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาผู้นี้ ปัจจุบันทั้งสองคนต่างมีห้องทำงานในทำเนียบขาวใกล้ๆ กับประธานาธิบดีทรัมป์[2] พวกเขาได้รับการเปิดทางในด้านความมั่นคงหลายๆ ระดับชั้น[3] จนทำให้สามารถเข้าถึงเหล่าผู้นำระดับสูงได้เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำเหล่านี้มาเยือนห้องทำงานรูปไข่หรือ มาที่รีสอร์ตมาร์-อา-ลาโก (Mar-a-Lago) ในรัฐฟลอริดาของทรัมป์ และด้วยฐานะอันสำคัญอย่างยิ่งเช่นนี้ ก็ติดตามมาด้วยสูตรสมบูรณ์แบบสำหรับการดำเนินกิจกรรมประเภทส่งเสริมเพิ่มพลังแบรนด์ ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะแสดงให้เห็นท่าที “ยืดหยุ่น” เพิ่มขึ้นมากในการกำหนดนโยบายด้านต่างๆ โดยทั่วไปในระยะหลังๆ มานี้[4] ทว่ายังคงมีอาณาบริเวณหนึ่งที่เขาควบคุมเอาไว้อย่างเหนียวแน่นและไม่มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ การที่เขาเรียกร้องจะบริหารทำเนียบขาวในลักษณะเป็นธุรกิจ หรือพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็ควรต้องพูดว่า ในลักษณะเป็นธุรกิจ ของตระกูล

วิธีการที่ จาเรด “ที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดี (senior adviser to the president)[5] และ อิวองก้า “ผู้ช่วยของประธานาธิบดี” (assistant to the president)[6] สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อกันแล้วจากการต่อเชื่อมโยงใยที่พวกเขามีอยู่กับ “คุณพ่อ” ในระยะเวลา 100 วันแรกแห่งการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ เป็นสิ่งที่สร้างความงงงวยชวนพิศวงได้ทีเดียว ตัวอย่างเช่น บริษัทของอิวองก้า ได้รับอนุญาตจากทางการจีนให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าใหม่ๆ 3 แบบสำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัท[7] ในวันเดียวกันกับที่เธอเข้าร่วมรับประทานอาหารค่ำกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงและคณะ ณ รีสอร์ตและสนามกอล์ฟหรูในเมืองปาล์มบีช, รัฐฟลอริดา ของบิดาของเธอ[8]

ในทำนองคล้ายคลึงกัน ต้องขอบคุณการที่เธอมีโอกาสได้คบค้าสมาคมกับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่นทีเดียว [9] บริษัทของเธอจึงน่าจะอยู่ในฐานะที่ดีกว่าคู่แข่งอื่นๆ ในการเจรจาทำดีลกับแดนอาทิตย์อุทัย ทั้งนี้หนึ่งในผลประโยชน์ที่อาจจะได้รับเพิ่มเติมสืบเนื่องจากพลังอำนาจของตระกูลของเธอ ได้แก่การใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงด้านไลเซนส์กับ ซาเนอิ อินเตอร์เนชั่นแนล (Sanei International)[10] กิจการยักษ์ใหญ่ด้านเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งมีบริษัทแม่ที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดได้แก่ ธนาคารพัฒนาแห่งประเทศญี่ปุ่น (Development Bank of Japan) –หน่วยงานที่รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นเจ้าของทั้งหมด เราท่านทั้งหลายถูกทึกทักให้เชื่อในคำอธิบายที่ว่าการที่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของอิวองก้ากำลังได้รับการพิจารณาเป็นการภายในจากซาเนอิ ณ กรุงโตเกียวในจังหวะเวลาใกล้เคียง[11] กับการไปเยือนทรัมป์ที่นิวยอร์กเมื่อปลายปี 2016 ของอาเบะนั้น เป็นเพียงการสอดคล้องกันในกำหนดการของเทพีแห่งโชคเท่านั้น กระนั้นก็ตามที ข้อเท็จจริงยังคงมีอยู่ว่านับตั้งแต่ที่บิดาของเธอขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯแล้ว เราๆ ท่านๆ ก็ไม่ต้องรู้สึกเซอร์ไพรซ์เลยว่า ยอดขายสินค้าของเธอในทั่วโลกจะดีจะร้ายก็กำลังพุ่งพรวดขึ้นไปอย่างแรง[12]

ตรงนี้แหละมีสิ่งที่เป็นเรื่องลักษณะลับ-ลวง-พราง เรานั้นย่อมไม่สามารถชี้ออกมาอย่างชัดเจนได้ว่ามีดอกผลอะไรแน่นอนเกิดขึ้นมาจากการพบปะหารือครั้งหนึ่งครั้งใดของสมาชิกรุ่นถัดไปแห่งตระกูลทรัมป์ พวกเขาอิงอาศัยแนวความคิดที่ว่า เนื่องจากแบรนด์ของพวกเขานั้นใหญ่โตมหึมามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นถึงอย่างไรกำไรและดีลต่างๆ ก็จะต้องเกิดขึ้นมาอยู่ดี และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำไมพวกเขาจึงไม่ยอมแสดงบัญชีงบการเงินหรือรายการชำระภาษีตลอดจนการขอคืนภาษีให้เราได้เห็นกันเลย

เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนนะรึ? เวลานี้พวกเขาแผ่ซึมซ่านไปทั่วทุกซอกมุมของทำเนียบขาวอยู่แล้วละ ทว่าสภาพเช่นนี้จะไม่ส่งผลกระทบกระเทือนหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งๆ หนึ่งซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ให้คุณค่าอย่างสูงส่งยิ่ง --เชื่อหรือไม่ว่า สิ่งซึ่งทรัมป์ให้คุณค่าอย่างสูงส่งนี้ไม่ใช่เรื่องความปรารถนาหรือความต้องการของฐานเสียงของเขาในแถบไกลปืนเที่ยงตรงใจกลางของอเมริกาแต่อย่างไรทั้งสิ้น หากแต่คือความก้าวหน้าของเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา และคู่ครองตลอดจนญาติๆ ของผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา

ระเบียบกฎหมายของสหรัฐฯและการตีความของตระกูลทรัมป์

สมาชิกในตระกูลทรัมป์และตระกูลคุชเนอร์จะประพฤติปฏิบัติตนในวิถีทางซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ธุรกิจต่างๆ ในทั่วโลกของพวกเขา มีเพียงอย่างเดียวที่จะต้องยึดให้มั่นคงรัดกุม นั่นคือพวกเขาจะต้องกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างลอยนวล นั่นคือเมื่อตีความกันในทางกฎหมายแล้ว พวกเขาจะต้องไม่มีความผิดใดๆ ดังนั้นกฎข้อแรกของธุรกิจตระกูลในห้องทำงานรูปไข่จึงออกมาว่า: ต้องหาที่ปรึกษากฎหมายมือเยี่ยมระดับดาวเด่น และพวกเขาก็ทำเช่นนั้นกันจริงๆ ทนายความนักกฎหมายของพวกเขานั้นจนถึงเวลานี้ประสบความสำเร็จเป็นอันดีในการก่อตั้งกองทุนทรัสต์ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว (แน่นอนทีเดียว มันเป็นเพียงตามทฤษฎีเท่านั้น) แยกขาดอีวองก้าออกจากประดาธุรกิจต่างๆ ของเธอ[13] และมุ่งขจัดปัดเป่าข้อกล่าวหาใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรือในอนาคตก็ตามที ที่ว่ากิจกรรมต่างๆ ของกองทุนทรัสต์เหล่านี้อาจจะละเมิดระเบียบกฎหมายของสหรัฐฯ[14] ทั้งนี้มีระเบียบกฎหมายสำคัญอยู่ 2 ฉบับด้วยกันที่พวกเขาพิจารณาใส่ใจอย่างเป็นพิเศษ

ฉบับแรกคือ ประมวลกฎระเบียบของสหรัฐฯ (Code of Federal Regulations)[15] ซึ่งเป็นการรวบรวมบรรดากฎระเบียบต่างๆ ที่พวกกระทรวงทบวงกรมของฝ่ายบริหารและสำนักงานทั้งหลายของรัฐบาลอาศัยอำนาจตามกฎหมายญัตติขึ้นมา โดยที่ หัวข้อ 18 หมวด 208 (Title 18 section 208)[16] ของประมวลกฎระเบียบนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “การกระทำต่างๆ ที่ส่งผลกระทบถึงผลประโยชน์ทางการเงินส่วนบุคคล” บทบัญญัติว่าด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนที่ถือเป็นความผิดอาญาฉบับนี้[17] ระบุเอาไว้ว่า “เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างคนใดของฝ่ายบริหารแห่งรัฐบาลสหรัฐฯ” ไม่สามารถที่จะได้รับ “ผลประโยชน์ทางการเงิน” ที่เป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ หากว่ากันตามหลักกฎหมายแล้ว ข้อความนี้ควรจะมีความหมายว่าอย่างไรสำหรับตระกูลที่กำลังเป็นผู้ครอบครองอำนาจบริหารของสหรัฐอเมริกาอยู่ในเวลานี้? คำตอบที่น่าจะเป็นก็คือ อิวองก้าต้องไม่อาจเข้าร่วมรับประทานอาหารค่ำกับประธานาธิบดีของจีน ในเวลาที่ธุรกิจของเธอกำลังยื่นขอและกำลังได้รับอนุมัติเป็นการชั่วคราวระหว่างรอการพิจารณาให้ใช้เครื่องหมายการค้าได้เป็นการถาวรจากประเทศของเขา[18] ถ้าหากการกระทำใน 2 เรื่องนี้มีเรื่องหนึ่งส่งผลกระทบไปถึงอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับบุคคลภายนอกแล้ว การเชื่อมโยงกันระหว่างการกระทำใน 2 เรื่องนี้นั้นดูมีความชัดเจนเพียงพอ และมันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าจะกลายเป็นแบบฉบับของสิ่งที่กำลังจะเกิดตามมา

ต้องชี้เอาไว้ตรงนี้ว่า มีบทลงโทษกันจริงๆ อยู่ด้วยสำหรับผู้ที่ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดฐานละเมิดกฎระเบียบข้อนี้ โทษดังกล่าวมีทั้งปรับเงินและจำคุกหรือทั้งสองอย่าง ทั้งนี้รายละเอียดบัญญัติเอาไว้ในหมวด 216 ของหัวข้อ 18 [19]

มีนักกฎหมายบางราย[20]โต้แย้งให้เหตุผลว่า การแต่งตั้งอีวองก้าและจาเร็ด[21] ไม่ได้เข้าข่ายละเมิดกฎระเบียบหมวด 208 หรือบทบัญญัติป้องกันไม่ให้มีการเล่นพรรคเล่นพวกฉบับอื่นๆ แต่อย่างใด[22] เนื่องจากทั้งคู่ไม่ได้เป็นที่ปรึกษาของประธานาธิบดีประเภทที่ได้รับค่าจ้าง[23] พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เนื่องจากอีวองก้าไม่ได้รับเงินเดือนสำหรับการทำงานที่เธอทำให้กับ ...บิ ... เอ้อ ...ประเทศชาติของเธอ ดังนั้นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจึงหายสูญไปโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว เธอกระทำอย่างเต็มที่สุดๆ ในแบบของชาวทรัมป์เพื่อสาธิตให้เห็นว่าเธอนั้นมุ่งมั่นแข็งขันในการแสดงพฤติกรรมอันมีจริยธรรม ด้วยการกันตัวเองให้ห่างออกมาจากความรับผิดชอบต่อธุรกิจของเธอ (หรือให้ดูเหมือนเป็นอะไรในทำนองนั้น) ทั้งนี้ตามรายงานของนิวยอร์กไทมส์ [24]ระบุว่า “อิวองก้าได้โอนทรัพย์สินต่างๆ ของแบรนด์ของเธอ เข้าไปในกองทุนทรัสต์แห่งหนึ่งซึ่งกำกับดูแลโดยน้องชายสามีของเธอ โจช คุชเนอร์ (Josh Kushner) และน้องสาวสามีของเธอ นิโคล เมเยอร์ (Nicole Meyer) ปัดโธ่ ตรงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคอนเนกชั่นของตระกูลนะ! ก็ “คุชเนอร์” หรือ “เมเยอร์” ย่อมไม่ใช่ “ทรัมป์” อยู่แล้ว และบางทีเธอยังอาจไม่แคร์ที่จะนับญาติกับพวกพี่น้องของฝ่ายสามีของเธอก็เป็นได้!

อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงที่ปรากฏออกมายังมีอีกว่า ไม่ใช่ทรัพย์สินทั้งหมดทุกอย่างหรอกที่ได้รับการปฏิบัติจากเธออย่างเท่าเทียมเสมอภาคกัน ด้วยเหตุนี้เองจึงดูเหมือนว่า “บุตรีหมายเลขหนึ่ง” ผู้นี้ยังคงเก็บหุ้นที่เธอมีอยู่ในโรงแรมทรัมป์ อินเตอร์เนชั่นแนล โฮเต็ล (Trump International Hotel)[25] เอาไว้ โรงแรมแห่งนี้อยู่ห่างจากทำเนียบขาวแค่เดินเล่นไปสัก 15 นาทีก็ถึง แล้วปรากฏด้วยว่าทางโรงแรมยังกำลังโฆษณาโปรโมต “ห้องสวีท อีวองก้า ทรัมป์” (the Ivanka Trump Suite)[26] และ “สปา โดย อีวองก้า ทรัมป์ (The Spa by Ivanka Trump)[27] กันอย่างสนุกสนาน ("The Spa by Ivanka Trump™ และ Fitness Center นำแขกผู้มีเกียรติเปลี่ยนจากสถานที่แบบเทคโนยิมของ Fitness Center มาสู่สปาอันสงบสุข ซึ่งทั้งให้ความผ่อนคลาย, สร้างความสมดุล, ก่อให้เกิดความบริสุทธิ์, ฟื้นฟูความมีชีวิตชีวา, และให้ผลในทางบำบัด ...”) ที่นี่เอง นักการทูตต่างชาติหรือพวกเจ้าพ่อเจ้าแม่ครอบครองผลประโยชน์เฉพาะด้านจำนวนมาก สามารถที่จะ “ผ่อนคลาย, เพิ่มพลัง, ฟื้นฟู” ตัวเขาเองหรือตัวเธอเอง ขณะเดียวกับที่หาหนทางวิธีการอ่อยเหยื่อเพื่อให้ได้เป็น “คนใน” กับตระกูลทรัมป์ เราไม่มีทางทราบอย่างชัดเจนแม่นยำว่าตระกูลทรัมป์เก็บเกี่ยวดอกผลอะไรไปได้บ้างจากโรงแรมแห่งนี้ เนื่องจากไม่เคยมีการเปิดเผยตัวเลขบัญชีใดๆ ต่อสาธารณชน แต่ก็สมเหตุสมผลทีเดียวที่จะสันนิษฐานว่าเราไม่ได้กำลังพูดถึงกิจการที่ขาดทุนอยู่แน่ๆ นอกเหนือจากอาณาจักรในวอชิงตัน ดี.ซี.อีกแห่งหนึ่งแห่งนี้แล้ว อีวองก้ากับจาเรดก็ยังคงมีฐานะเป็นผู้รับผลประโยชน์ของอาณาจักรธุรกิจที่ทั้งคู่ครอบครองร่วมกัน ซึ่งเวลานี้ได้รับการตีมูลค่าว่าอยู่ที่ประมาณ 750 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ตามรายงานทางด้านจริยธรรมของทำเนียบขาว[28]

แต่เดี๋ยวก่อนนะ ยังมีกฎระเบียบที่ชัดเจนยิ่งกว่านี้อีกนี่นา ซึ่งห้ามการใช้สำนักงานภาคสาธารณะ (แน่นอนทีเดียวหมายถึงทำเนียบขาวด้วย) ไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว นั่นคือ หัวข้อ 5 หมวด 2635.702 (Title 5 section 2635.702)[29] เกี่ยวกับเรืองดังกล่าว หมวดนี้ระบุว่า “ลูกจ้าง[30]จะต้องไม่ใช้สำนักงานภาคสาธารณะของเขาไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของเขาเอง, เพื่อการส่งเสริมรับรองผลิตภัณฑ์ใดๆ, บริการใดๆ, หรือวิสาหกิจใดๆ, หรือเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของเพื่อนๆ, ญาติๆ , หรือของบุคคลซึ่งลูกจ้างผู้นั้นเข้าไปเกี่ยวข้องร่วมมือในขอบเขตลักษณะที่มิใช่ภาครัฐบาล[31]”

โอเค มันเป็นบทบัญญัติที่ออกจะจุกจิกเอามากๆ แต่ถึงแม้กฎระเบียบข้อนี้ไม่มีการนำมาบังคับใช้กับประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี –เราจะต้องขอบคุณ เนลสัน ร็อกกี้เฟลเลอร์ (Nelson Rockefeller) ทีเดียว ที่ทำให้เกิดการยกเว้นเช่นนี้ขึ้นมา แต่เราจะหวนกลับไปพูดถึงเขาภายหลังจากนี้— ทว่าสำหรับตำแหน่งอื่นๆ ในสำนักงานฝ่ายบริหารแล้ว กฎระเบียบข้อนี้อธิบายเอาไว้ว่า “ฐานะของการเป็นลูกจ้างนั้น ไม่มีรับผลกระทบกระเทือนจากฐานะของการได้รับค่าตอบแทนหรือของการไม่ได้รับค่าตอบแทน” นี่หมายความว่าคุณไม่สามารถพูดได้หรอกว่าใครบางคนไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นลูกจ้าง เพียงเพราะว่าเธอไม่ได้รับเช็กเงินเดือน นี่ย่อมมีความหมายต่อไปว่า ถึงแม้ในทางเป็นจริงแล้วเธอไม่ได้รับค่าจ้างเงินเดือน แต่เธอก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากการต้องทำตามกฎระเบียบข้อนี้แต่อย่างใดทั้งสิ้น

สำหรับกฎข้อสองของการดำเนินธุรกิจตระกูลในทำเนียบขาวนั้น ไม่ต้องสงสัยเลย คือ: เข้าควบคุมเครื่องมือต่างๆ ในการบังคับใช้กฎหมายและกฎระเบียบทั้งหลาย โดยที่ประธานาธิบดีทรัมป์ก็เพิ่งผลักดันคนของเขา[32]ให้เข้าไปอยู่ในศาลสูงสุด ดังนั้นแม้กระทั่งเมื่อข้อกล่าวหาด้านจริยธรรมผ่านขึ้นไปจนถึงศาลระดับสูงสุดในแผ่นดินนี้ ตระกูลนี้ก็ยังคงมีหลักประกันอยู่บ้างอย่างน้อยก็สักนิดสักหน่อย

ประธานาธิบดีกับการแต่งตั้งญาติตัวเอง

แนวความคิดในเรื่องการจับมือเกี่ยวดองกันระหว่างสายเลือดทรงอิทธิพลต่างๆ นั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรไม่ว่าในภาคธุรกิจหรือในแวดวงการเมือง เมื่อช่วงระยะเปลี่ยนผ่านจากศตวรรษที่ 19 เข้าสู่ศตวรรษที่ 20 พวกครอบครัวของเจ้าพ่อในภาคธุรกิจมักนิยมแต่งงานสร้างความเกี่ยวดองระหว่างกัน เพื่อขยายอาณาจักรทางธุรกิจที่ทรงอำนาจอิทธิพลเพิ่มขึ้นและทำกำไรได้งดงามยิ่งขึ้น ครั้นเมื่อหันมาพิจารณาถึงการเมืองในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว ประวัติศาสตร์อเมริกันก็เกลื่อนกลาดไปด้วยข้ารัฐการหลายชั่วอายุคนซึ่งมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเหล่าประธานาธิบดี โรเบิร์ต (Robert) บุตรชายคนโตของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ซึ่งเข้าพรรครีพับลิกันเช่นเดียวกับบิดา ได้รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีสงคราม (secretary of war)[33] ในคณะบริหารทั้งของประธานาธิบดีเจมส์ การ์ฟิลด์ (James Garfield) และของประธานาธิบดีเชสเตอร์ อาร์เธอร์ (Chester Arthur) และในที่สุดแล้วก็ได้ตำแหน่งเป็นอัครราชทูตสหรัฐฯประจำบริเตนใหญ่ (U.S. minister to Great Britain )[34] ในยุคคณะบริหารของประธานาธิบดีเบนจามิน แฮร์ริสัน (Benjamin Harrison)[35] จอห์น (John) บุตรชายของประธานาธิบดี ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (Dwight D. Eisenhower) เขาเป็นนายทหารยศพลจัตวาที่ได้รับเหรียญกล้าหาญเชิดชูเกียรติ ได้เข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขาธิการดูแลด้านธุรการ (assistant staff secretary) ในทำเนียบขาว ตั้งแต่ขณะที่บิดาของเขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และภายหลังก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำเบลเยียม[36] ในยุคประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน[37] (ผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีในสมัยประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์) ทว่าพวกเขาไม่มีใครเลยที่ทำให้คลังสมบัติของธุรกิจตระกูลโป่งพองเพิ่มพูนในระหว่างนั่งอยู่ในตำแหน่งเหล่านี้

เรื่องคอนเนกชั่นจากธุรกิจตระกูล อาจจะส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจและการปฏิบัติงานของบุคคลสำคัญๆ ในทำเนียบขาวหรือไม่นั้น ก็ไม่ใช่หัวข้อใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในสมัยทรัมป์เช่นเดียวกัน เมื่อปี 1974 ภายหลัง ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ยอมลาออกขณะแทบเป็นการแน่นอนอยู่แล้วว่าเขาจะถูกรัฐสภากล่าวโทษถอดถอนออกจากตำแหน่ง เจอรัลด์ ฟอร์ด (Gerald Ford) ได้เเข้าเทคโอเวอร์ตำแหน่งประธานาธิบดีแทน และได้เสนอชื่อ เนลสัน ร็อกกี้เฟลเลอร์ ให้เป็นรองประธานาธิบดีของเขา เวลานั้น เดวิด (David)[38] น้องชายของเนลสัน เป็นผู้บริหารแบงก์ยักษ์บิ๊กเบิ้มอย่างธนาคารเชส แมนแฮตตัน (Chase Manhattan Bank ปัจจุบันคือ เจพี มอร์แกน เชส JPMorgan Chase) เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่ต้องเกิดคำถามจำนวนมากขึ้นมาเกี่ยวกับความมั่งคั่งร่ำรวยและสายใยบารมีทางการเมืองที่แผ่กว้างไปไกลจนลือกันกระฉ่อนของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ ทั้งนี้ เนลสัน ซึ่งเป็นหลานปู่ของ จอห์น ดี. ร็อกกี้เฟลเลอร์ (John D. Rockefeller) เจ้าพ่ออุตสาหกรรมน้ำมัน ก็เคยทำงานอยู่ในธนาคารแห่งนี้เหมือนกัน[39] รวมทั้งเคยนั่งอยู่ในคณะกรรมการบริหารของบริษัทน้ำมันหลายต่อหลายแห่ง

ปรากฏว่าในปีเดียวกันนั้นเอง กระทรวงยุติธรรมได้มีข้อสรุปแบบสะดวกง่ายดายว่า พวกกฎหมายว่าด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนนั้นไม่ได้มีผลบังคับใช้ต่อผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี[40] –ถึงแม้ก่อนหน้านั้น โรเบิร์ต เบิร์ด (Robert Byrd) วุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครตได้ออกมาตั้งคำถามว่า “อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็ไม่สามารถเห็นพ้องกันได้หรือ ... ว่ามีอิทธิพลอยู่ตรงนั้น, ว่ามันเป็นอิทธิพลที่มหาศาลมาก, ว่ามันเป็นอิทธิพลที่ใหญ่ยิ่งกว่าประธานาธิบดีหรือรองประธานาธิบดีคนไหนๆ เคยมีกัน?” กระนั้นก็ตาม ถึงแม้เนลสัน ร็อกกี้เฟลเลอร์มีความมั่งคั่งร่ำรวยและสายสัมพันธ์โยงใยอย่างแสนมหัศจรรย์ถึงขนาดนั้น สถานการณ์ของเขาก็ยังคงไม่สามารถเปรียบเทียบกับความพันพัวยุ่งเหยิงกับธุรกิจตระกูล ภายในทำเนียบขาวในยุคของทรัมป์ได้หรอก

นอกเหนือจากพวกตระกูลทรัมป์และจาเรด คุชเนอร์แล้ว เคยมีตัวอย่างมาก่อนแล้วที่สมาชิกในตระกูลเดียวกันกับประธานาธิบดีเข้าดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติงานอันทรงความสำคัญในทำเนียบขาว ตัวอย่างเช่น เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีวูดโร วิลสัน (Woodrow Wilson) ป่วยหนักในปี 1919[41] อีดิธ (Edith) ภรรยาคนที่สองของเขาก็ก้าวเข้ามาแสดงบทบาทต่างๆ ในนามของเขา ซึ่งโดยเนื้อหาสาระแล้วก็คือการทำหน้าที่บริหารผลักดันรัฐบาลอย่างลับๆ จากข้างๆ เตียงของเขานั่นแหละ อย่างไรก็ดี เจตนาความตั้งใจของเธอไม่เคยเลยที่จะมุ่งอยู่ที่เรื่องธุรกิจตระกูล ทว่าเพื่อให้เป็นที่มั่นอกมั่นใจได้ว่านโยบายต่างๆ ของสามีของเธอจักยังคงได้รับการปฏิบัติต่อไปต่างหาก ในส่วนของประธานาธิบดีบุชทั้ง 2 คน ถึงแม้มีมรดกตกทอดในรูปของธุรกิจ[42]และกิจการธนาคาร[43] ซึ่งสามารถสาวย้อนกลับไปได้ถึงประมาณ 100 ปี ทว่าทั้งคู่ก็เข้ามาเป็นประธานาธิบดีจากการได้รับเลือกตั้ง ไม่ใช่เป็นการส่งมอบอำนาจให้กันเลย สำหรับในกรณีของประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน ถึงแม้เนื่องจากช่วงเวลาการบริหารในห้องทำงานรูปไข่ของเขานั่นเอง เป็นสาเหตุทำให้ภรรยา คือ ฮิลลารี ได้รับการยอมรับจากสาธารณชน (และสร้างคอนเนกชั่นในภาคการธนาคาร) จนพอเพียงที่จะประสบความสำเร็จเมื่อเธอลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐนิวยอร์ก จากนั้นก็เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในยุคประธานาธิบดีโอบามา และลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีถึง 2 ครั้งแม้ว่าในที่สุดแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จก็ตามที ทว่าพวกคลินตันกว่าจะกลายเป็นผู้มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยมาก[44]ก็ภายหลังจากที่บิลล์พ้นตำแหน่งไปแล้ว ถึงแม้เรื่องที่มูลนิธิการกุศลของพวกเขามีความผูกพันอยู่กับรัฐบาลต่างประเทศหลายๆ ชาติ[45] ยังคงเป็นที่ระแวงสงสัยกันอยู่มาก แต่พวกเขาก็ไม่เคยมีธุรกิจส่วนตัวในขณะที่บิลล์นั่งอยู่ในทำเนียบขาว

สิ่งซึ่งจะไม่สามารถค้นหาได้ในบันทึกประวัติศาสตร์ประธานาธิบดีอเมริกันเลยจวบจนกระทั่งถึงยุคสมัยของโดนัลด์ ทรัมป์ ก็คือ ลูก, ภรรยา, หรือเครือญาติของประธานาธิบดีทั้งมีตำแหน่งมีห้องทำงานอยู่ในส่วนสำนักงานประธานาธิบดีในทำเนียบขาว (หรือที่เรียกกันว่า เวสต์ วิง West Wing) ด้วย และเวลาเดียวกันนั้นก็แผ่ขยายธุรกิจตระกูลไปด้วย ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงระดับการสร้างเครือข่ายอาณาจักรธุรกิจตระกูลด้วยซ้ำ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมีความพิเศษโดดเด่นมากในบันทึกพงศาวดารผู้นำอเมริกัน เพียงแค่ประมาณ 100 วันแห่งสมัยการเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์เท่านั้น เขาก็มีคุณลักษณะบางสิ่งบางอย่างของผู้ปกครองเผด็จการอันปรากฏอยู่ตามที่ต่างๆ บนพิภพนี้ ซึ่งเที่ยวปล้นชิงเบียดเบียนผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองของตนเอง และเที่ยวยักย้ายถ่ายเททรัพย์สมบัติของรัฐให้เข้าไปอยู่ในบัญชีธนาคารและธุรกิจต้างๆ ของพวกเขาเอง

แล้วเราต้องไม่ลืมว่า อาณาจักรทรัมป์ ก็เป็นอาณาจักรคุชเนอร์ด้วย ธุรกิจตระกูลของจาเรด[46]นั้น ต้องพึ่งพาอาศัยพวกนักลงทุนจากทั่วโลก ซึ่งก็ให้บังเอิญว่าต่างมาจากพวกประเทศที่ตัวเขาในฐานะที่ปรึกษาอาวุโสของทำเนียบขาว ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รับผิดชอบติดต่อสัมพันธ์ด้วยเสียอีก ตัวอย่างเช่น เขาเป็นผู้นำ[47]ในการเตรียมการสำหรับต้อนรับการเดินทางมาเยือนรีสอร์ต มาร์-อา-ลาโก อย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีแห่งประเทศจีน (เวลาเดียวกันนั้นธุรกิจหลายๆ อย่างของตระกูลคุชเนอร์ก็อยู่ระหว่างการหารือติดต่อกันในระดับสูงกับเครือข่ายธุรกิจทางการเงินยักษ์แห่งหนึ่งของจีน)[48] ธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งของรัสเซียซึ่งได้ถูกสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำลงโทษคว่ำบาตรไปแล้ว ปรากฏว่าตัวประธานของแบงก์แห่งนี้ไดพบปะหารือกับจาเรดในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว โดยที่อ้างอิงเรียกขานตำแหน่งของเขาว่า[49] เป็นประธานของเครือบริษัทคุชเนอร์ (head of Kushner Companies) ถึงแม้ว่าในเวลานั้นก็เป็นที่ปรากฏชัดเจนแล้วแม้อาจจะยังไม่ใช่มีการประกาศเป็นทางการ ว่าจาเรดจะเป็นที่ปรึกษาคนหนึ่งของประธานาธิบดีทรัมป์

ในทำนองเดียวกันเขายังเป็น “คนชี้เป้า” ของคณะบริหารทรัมป์สำหรับ “สันติภาพ” ในตะวันออกกลางอีกด้วย ถึงแม้ว่าตระกูลของเขามีความสัมพันธ์ทางการเงินกับอิสราเอล[50] เวลาเดียวกันนั้นเอง ในบทบาทที่เขาเป็นหัวหน้า[51]ของ สำนักงานนวัตกรรมอเมริกันแห่งทำเนียบขาว (White House Office of American Innovation) ที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่ๆ หมาดๆ ศักยภาพความเป็นไปได้ที่จะหลอมรวมรัฐบาลกับโอกาสทางธุรกิจภาคเอกชนจึงน่าที่จะมีอย่างมากมายมหาศาลชนิดไร้ที่สิ้นสุดทีเดียว

ขบวนพาเหรดของการเล่นพรรคเล่นพวก

เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และถูกบังคับกดดันให้ต้องแก้ไขข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน โดยที่ถ้าหากเขาเลือกปฏิบัติตามวิธีการซึ่งพวกประธานาธิบดีคนอื่นๆ หรือผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะคนอื่นๆ ได้เคยกระทำกันมา เป็นต้นว่าขายทิ้งธุรกิจของเขา หรือเบาลงมาคือต้องโอนธุรกิจเหล่านั้นเข้าไปอยู่ใน “กองทุนทรัสต์ตาบอด” (blind trust วิธีการดำเนินการทางการเงินซึ่งบุคคลที่ดำรงตำแหน่งสาธารณะมอบอำนาจการบริหารผลประโยชน์ธุรกิจส่วนตัวของตนให้แก่กองทุนทรัสต์อิสระ เพื่อป้องกันปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ภายใต้ทรัสต์อิสระดังกล่าว เจ้าของจะไม่ทราบว่าสินทรัพย์ของตนเหล่านี้ได้รับการบริหารจัดการไปอย่างไร :คำนิยามจากพจนานุกรมออกซ์ฟอร์ด ดูรายละเอียดได้ที่ https://en.oxforddictionaries.com/definition/us/blind_trust -หมายเหตุผู้แปล) ก็มีความเสี่ยงอันเป็นไปได้ที่ราชวงศ์แห่งอาณาจักรธุรกิจของเขาอาจจะถึงขั้นถูกทำลายย่อยยับลงไป

ทรัมป์ได้หันมาเลือกใช้วิธีการซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนักว่าไม่มีความโปร่งใสและไม่สามารถพ้นข้อครหาในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนไปได้ นั่นคือ ปล่อยให้บุตรชายคนโตและคนรองของเขา คือ อีริก ทรัมป์ (Eric Trump) และ โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ (Donald Trump Jr.) เป็นผู้บริหารกองทุนนี้แทน พูดไปแล้วนี่ก็คล้ายๆ กับกลที่พวกนักมายากลใช้ควันและกระจกมาอำพรางชักนำให้ผู้ชมเข้าใจไปเป็นอีกอย่างหนึ่งนั่นแหละ ขณะที่ให้สัมภาษณ์นิตยสาร์ฟอร์บส์ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา [52] อิริกระบุว่าเขาจะจัดทำรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับ “ทรัมป์ ออแกไนเซชั่น” (Trump Organization) ซึ่งทำหน้าที่เป็นบริษัทแม่ของผลประโยชน์ทางธุรกิจทั้งหมดในปัจจุบันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้บิดาของเขาทราบ “เป็นรายไตรมาส” --แต่จะมีใครล่ะที่เชื่อจริงๆ ว่าบิดาและบุตรคู่นี้ไม่ได้พูดคุยถกเถียงกันเกี่ยวกับอาณาจักรธุรกิจของตระกูลบ่อยครั้งยิ่งกว่านั้นนักหนา?

อันที่จริงตระกูลนี้ก็ถูกผู้สังเกตการณ์จัดทำบัญชีแสดงรายการผลประโยชน์ทับซ้อนซึ่งอาจจะเกิดขึ้นจากธุรกิจของพวกเขาในที่ต่างๆ ทั่วโลก[53] บัญชีแสดงรายการเหล่านี้เป็นเครื่องบ่งบอกให้เห็นถึงวิถีทางต่างๆ ที่ทำเนียบขาวน่าจะกลายเป็นพาหะในการทำงานให้แก่แนวรบขยายธุรกิจของตระกูลทรัมป์ ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนมากคือที่ตุรกี ซึ่งทรัมป์ ออแกไนเซชั่น ได้ไปลงทุนกันอย่างเป็นกอบเป็นกำอยู่แล้ว และก็เป็นประเทศซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โทรศัพท์ไปหาประธานาธิบดีเรจิป ทอยยิป แอร์โดอัน (Recip Tayyip Erdogan)[54] เพื่อแสดงความยินดีกับเขาที่ได้รับชัยชนะในการลงประชามติเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญของประเทศ ถึงแม้ชัยชนะดังกล่าวจะถูกมองกันอย่างกว้างขวางว่าอยู่ในรูปลักษณ์ของการมุ่งช่วงชิงไขว่คว้าอำนาจและต่อต้านประชาธิปไตย แล้วลองคิดดูถึงผลประโยชน์ทางธุรกิจของตระกูลทรัมป์ในทั่วโลก คุณก็ย่อมสามารถหาตัวคูณเข้าไปได้ว่าจะมีการโทรศัพท์เช่นนี้อย่างมากมายและกว้างขวางเพียงใด

เวลาเดียวกันนั้น แบรนด์ “อีวองก้า” ของ “บุตรสาวหมายเลขหนึ่ง” ก็ไม่ได้เพียงแค่กำลังเดินหน้าไปได้ตามปกติ ตรงกันข้ามมันกำลังเติบโตขยายตัวอย่างรวดเร็ว ตามรายงานข่าวของสำนักข่าวแอสโซซิเอเต็ด เพรสส์ (Associated Press หรือ AP)[55] ตั้งแต่ขึ้นปี 2017 เป็นต้นว่า “ยอดขายในทั่วโลกของสินค้าต่างๆ ของอีวองก้า ทรัมป์ กำลังกระโดดพุ่งพรวด” สัญญาณประการหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือ ยอดนำเข้าของแบรนด์นี้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นการนำเข้าจากประเทศจีน ได้เพิ่มขึ้นไปกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ส่วนสำหรับสามีของเธอล่ะ เขายังคงมีตำแหน่งเป็นซีอีโอของกลุ่มคุชเนอร์ คอมพานีส์ ไปจนตลอดถึงเดือนมกราคมปีนี้ กระทั่งถึงตอนนั้นแหละเขาจึงยอมสละ[56]บทบาทการบริหารจัดการของเขาในเครือข่ายกิจการอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจอื่นๆ อีก 58 แห่งเครือข่ายนี้ ถึงแม้ยังคงเป็นผู้รับผลประโยชน์หลักแต่เพียงผู้เดียวของพวกกองทุนทรัสต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องผูกพันกับตระกูลเกือบทุกกองทุน ส่วนผู้รับผลประโยชน์เป็นอันดับสองก็คือลูกๆ ที่เกิดจากเขาและอีวองก้า นี่ย่อมหมายความว่าการตัดสินนโยบายใดๆ ก็ตามทีที่เขาส่งเสริมสนับสนุน จะดีจะร้ายจะมากจะน้อย ก็สามารถส่งผลกระทบกระเทือนถึงธุรกิจตระกูลเหล่านี้ และมันไม่ต้องให้อัจฉริยะที่ไหนมาคิดคำนวณให้หรอก ก็ย่อมเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าในบรรดาทางเลือกด้านนโยบายต่างๆ นั้นเขาน่าที่จะเลือกเชียร์ทางเลือกใด

กระบวนการเบียดบังปล้นชิงประเทศชาติ

ถึงแม้ธุรกิจตระกูลทรัมป์มีกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนที่ชวนให้สับสนเข้าใจยากปรากฏให้เห็นชุดใหญ่[57]อยู่แล้ว ไล่เรียงกันตั้งแต่การติดต่อทำธุรกิจสนิทสนมกับพวกนายทุนทรงอิทธิพลทางการเมืองซึ่งโยงใยใกล้ชิดกับกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (Iranian Revolutionary Guard)[58] ไปจนถึงการที่หน่วยเจ้าหน้าที่อารักขา (the Secret Service)[59] ตลอดจนกระทรวงกลาโหม (เพนตากอน)[60] กำลังต้องเช่าพื้นที่ในอาคารทรัมป์ทาวเวอร์ (ในราคาอย่างน้อยที่สุดปีละ 3 ล้านดอลลาร์) (เพื่อจะได้ปฏิบัติงานคุ้มครองเขาและครอบครัวตลอดจนหน้าที่อื่นๆ ตามกฎหมายกำหนดในฐานะที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี) แต่เวลานี้ธุรกิจตระกูลทรัมป์ก็ยังคงมองหาสิ่งอื่นๆ ที่สามารถช่วงชิงเบียดยังไปได้อย่างมีเกียรติและยาวนาน มีรายงานว่าเวลานี้ตระกูลของเขากำลังเที่ยวมองหาโรงแรมแห่งที่สองในกรุงวอชิงตัน[61]กันแล้ว ขณะเดียวกันมีข่าวระบุว่าทรัมป์ได้ใช้จ่ายเงินทองซึ่งระดมรับบริจาคมาแต่เนิ่นๆ เพื่อใช้สำหรับการรณรงค์หาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยต่อไปในปี 2020 ของเขา ไปแล้วเกือบๆ 500,000 ดอลลาร์ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมธุรกิจต่างๆ ของตระกูล โดยที่มีหลักฐานว่าเงินทองเหล่านี้หลั่งไหลเข้าไปใน “ภัตตาคารต่างๆ, โรงแรมต่างๆ, และสนามกอล์ฟต่างๆ ที่ทรัมป์เป็นเจ้าของ”[62] ตลอดจนจ่ายในรูปของค่าเช่าพื้นที่ในอาคารทรัมป์ ทาวเวอร์ ในนครนิวยอร์ก

ตามผลสำรวจความคิดเห็นที่ออกมาช่วงหลังๆ นี้ ผู้ตอบซึ่งเป็นผู้ออกเสียงที่ลงทะเบียนไว้ เกินกว่าครึ่งหนึ่งทีเดียวเชื่อว่าการแต่งตั้งอีวองก้าและจาเรดให้มีตำแหน่งหน้าที่ในทำเนียบขาวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม[63] ทว่าเรื่องนี้อาจจะไม่เป็นที่สนใจอะไรนักหนาหรอกสำหรับโดนัลด์ ทรัมป์ ลองสอบถาม สตีเฟน แบนนอน (Stephen Bannonหัวหน้านักยุทธศาสตร์ประจำทำเนียบขาว)[64] หรือ คริส คริสตี (Chris Christie ผู้ว่าการมลรัฐนิวเจอร์ซีย์)[65] ดูเถอะ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่ออีวองก้าหรือจาเรดไม่ชอบหน้าคุณขึ้นมา นี่คืออำนาจบารมีแบบแก๊งมาเฟียในเวอร์ชั่นตระกูลนักธุรกิจการเมืองโดยแท้ทีเดียว

ในหนังสือของเธอเรื่อง “The Trump Card: Playing to Win in Work and Life” (ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2009) อีวองก้าตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า “ในธุรกิจ ก็เช่นเดียวกับในชีวิต ไม่มีอะไรหรอกที่ถูกส่งมอบมาให้คุณอย่างง่ายๆ” แน่นอนหละ ยกเว้นแต่ในกรณีที่คุณพ่อของคุณเป็นประธานาธิบดี และเขาส่งมอบกุญแจต่างๆ ที่จะทำให้สามารถสร้างธุรกิจตระกูลให้เติบโตขยายใหญ่กันอย่างสะดวกสบายเหมือนแค่ตักอาหารมารับประทานจากจานเงินจานทอง

เมื่อ 4 ทศวรรษมาแล้ว ขณะไปให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งของวุฒิสภา ในเรื่องที่เขาอาจเกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน รองประธานาธิบดีเนลสัน ร็อกกี้เฟลเลอร์ ถูกสมาชิกคณะกรรมาธิการตั้งคำถาม[66]ว่า “คุฯสามารถที่จะแยกผลประโยชน์ของธุรกิจใหญ่ ออกมาจากผลประโยชน์ของประเทศชาติได้ไหม เมื่อมันเกิดมีความแตกต่างกันขึ้นมา?” มันเป็นคำถามที่วุฒิสมาชิกหลายๆ คนเวลานี้ควรหยิบยกขึ้นมาถามต่ออีวองก้าและจาเรด เพียงแต่เปลี่ยนคำว่า “ธุรกิจใหญ่” มาเป็น “ธุรกิจใหญ่ของตระกูล” เท่านั้น

อนาคตต่อไปข้างหน้าดูทำท่าจะยิ่งมืดมนลงยิ่งกว่านี้เสียอีก ในเมื่อตระกูลนี้อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมประสบปัญหาใหญ่โตหนักหน่วง ปัญหาที่ดูใหญ่โตที่สุดก็คือ อาคาร 666 ฟิฟธ์ อะเวนิว (666 Fifth Ave) ซึ่งเป็นอาคารระฟ้าความสูง 80 ชั้นย่านแมนแฮตตันของนิวยอร์กที่หรูหราฟูฟ่าอย่างสุดๆ และถือเป็นสมบัติโดดเด่นเตะตาที่สุดของพวกคุชเนอร์นั้น เวลานี้มีพื้นที่ว่างหาผู้เช่าไม่ได้ในอัตราเกินกว่า 25% ไปมาก[67] อาคารแห่งนี้ไม่สามารถทำเงินเพียงพอแม้กระทั่งเพื่อใช้ชำระดอกเบี้ยเงินกู้มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และในเวลาอีก 2 ปียังจะต้องชำระเงินต้นจากที่ไปจำนองเอาไว้ด้วยมูลค่า 1,200 ล้านดอลลาร์[68] สถานการณ์กำลังจะถึงขนาดสร้างความเจ็บปวดเสียหาย ถ้าไม่มีพวกบริษัทต่างประเทศก้าวเข้าไปเพื่อลดทอนบรรเทากระแสเงินดอลลาร์ที่ไหลหลั่งพรั่งพรูออกจากบริษัท และนี่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอาจจะต้องมีการต่อรองยื่นหมูยื่นแมวแลกเปลี่ยนอะไรกันสักอย่างสองอย่าง

ในยุคสมัยของเรานี้ มันไม่ได้เป็นความลับเลยที่ว่าประธานาธิบดีผู้ก้าวลงจากตำแหน่ง ต่างเสมือนกับได้รับคำมั่นสัญญารับประกันว่าพวกเขาจะสามารถมีฐานะร่ำรวยมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังในเวลาอันรวดเร็ว ทว่าสำหรับการที่ครอบครัวของประธานาธิบดีจะสามารถไขว่คว้าความมั่งคั่งร่ำรวยเช่นว่านี้ได้ตั้งแต่ขณะที่ยังพำนักอยู่ในทำเนียบขาวนั้น นี่จะเป็นครั้งแรกทีเดียว กระนั้นก็ตาม กระบวนการที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นไปได้ขึ้นมาก็ดูเหมือนกำลังถูกจัดวางให้เข้าที่เข้าทางแล้ว ทั้งหมดเหล่านี้กำลังคลี่คลายปรากฏขึ้นมาให้เห็น ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์, บุตรหญิงชายของเขา, และบุตรเขยของเขา กำลังขะมักเขม้นในการสร้างสรรค์บทบาทอันไม่เคยมีตัวอย่างมาก่อนสำหรับตัวพวกเขาเองในฐานะที่เป็นผู้ทรงอำนาจบริหารจัดการสูงสุดต่อภาคธุรกิจของอเมริกา และก็ในฐานะที่กำลังเป็นประธานของจักรวรรดิ ... ไม่ใช่จักรวรรดิของประเทศชาติอะไรนักหนาหรอก หากแต่เป็นจักรวรรดิที่กำลังเติบโตขยายตัวออกไปเรื่อยๆ ของพวกเขาเองมากกว่า

โนมิ พรินส์ เป็นนักเขียนประจำคนหนึ่งของ TomDispatch เธอเขียนหนังสือมาแล้ว 6 เล่ม โดยเล่มหลังสุดคือ All the Presidents' Bankers: The Hidden Alliances That Drive American Power (Nation Books) เธอเป็นอดีตผู้บริหารคนหนึ่งของวอลล์สตรีท สำหรับข้อเขียนชิ้นนี้ เธอขอขอบคุณเป็นพิเศษต่อ นักวิจัย เคร็ก วิลสัน (Craig Wilson) สำหรับผลงานค้นคว้าอันยอดเยี่ยมของเขาที่เธอนำมาใช้ในข้อเขียน

(จากเว็บไซต์ TomDispatch.com)

หมายเหตุ

[1] http://www.abc.net.au/news/2017-03-30/ivanka-trump-to-become-official-white-house-employee/8399954
[2] https://www.nytimes.com/2017/04/15/us/politics/jared-kushner-ivanka-trump-white-house.html
[3] https://news.clearancejobs.com/2017/03/22/white-house-ivankas-security-clearance/
[4] http://www.cnn.com/2017/04/13/politics/trump-flip-flop/
[5] https://www.whitehouse.gov/the-press-office/2017/03/27/president-donald-j-trump-announces-white-house-office-american
[6] https://www.whitehouse.gov/the-press-office/2017/04/20/further-guidance-ivanka-trumps-visit-germany-w20-womens-20-summit-berlin
[7]https://www.bostonglobe.com/news/world/2017/04/18/ivanka-trump-got-approval-for-trademarks-china-day-she-dined-with-chinese-president/B1r58zBQGZvsNjGuIqqTjI/story.html
[8] https://apnews.com/d9e34f23a64947d99e4a7d757012c509
[9] https://www.nytimes.com/2016/11/19/us/politics/ivanka-trump-shinzo-abe.html
[10] https://www.nytimes.com/2016/12/04/us/politics/trump-family-ivanka-donald-jr.html
[11] https://www.nytimes.com/2016/12/04/us/politics/trump-family-ivanka-donald-jr.html?_r=0
[12] http://thehill.com/blogs/in-the-know/in-the-know/322818-ivanka-trump-clothing-line-reports-record-sales
[13] http://www.cbsnews.com/news/ivanka-trump-interview-what-it-means-to-be-complicit/
[14]https://www.gpo.gov/fdsys/browse/collectionCfr.action?collectionCode=CFR
[15] https://www.archives.gov/federal-register/cfr/about.html
[16] https://www.law.cornell.edu/uscode/text/18/208
[17]https://www.oge.gov/web/oge.nsf/Financial%20Conflicts%20of%20Interest/34F1CF2FAF392D7D85257E96006364EB?opendocument
[18] https://apnews.com/d9e34f23a64947d99e4a7d757012c509
[19] https://www.law.cornell.edu/uscode/text/18/216
[20] https://www.nytimes.com/2017/04/18/business/ivanka-trump-trademark-brand.html
[21] https://www.nytimes.com/2017/01/09/us/jared-kushner-assets-conflict-of-interest.html?_r=0
[22]https://www.justice.gov/sites/default/files/olc/opinions/attachments/2017/01/20/2017-01-20-anti-nepo-stat-who_0.pdf
[23] http://www.reuters.com/article/us-usa-trump-ivanka-idUSKBN170327
[24] https://www.nytimes.com/2017/03/29/us/politics/ivanka-trump-federal-employee-white-house.html
[25] https://www.nytimes.com/2017/03/31/us/politics/ivanka-trump-and-jared-kushner-still-benefiting-from-business-empire-filings-show.html?utm_source=huffingtonpost.com&utm_medium=referral&utm_campaign=pubexchange_article
[26] https://www.trumphotels.com/washington-dc/signature-suites
[27] https://www.trumphotels.com/washington-dc/spa
[28] https://www.nytimes.com/2017/03/31/us/politics/ivanka-trump-and-jared-kushner-still-benefiting-from-business-empire-filings-show.html?_r=1
[29] https://www.gpo.gov/fdsys/pkg/CFR-2012-title5-vol3/pdf/CFR-2012-title5-vol3-sec2635-702.pdf
[30]https://www.law.cornell.edu/definitions/index.php?width=840&height=800&iframe=true&def_id=b3464e805fbe7dd2347838286439bc3a&term_occur=1&term_src=Title:5:Chapter:XVI:Subchapter:B:Part:2635:Subpart:G:2635.702
[31]https://www.law.cornell.edu/definitions/index.php?width=840&height=800&iframe=true&def_id=0942999f74615a77bcdb5193556c77ba&term_occur=1&term_src=Title:5:Chapter:XVI:Subchapter:B:Part:2635:Subpart:G:2635.702
[32]http://www.tomdispatch.com/post/176273/tomgram%3A_nomi_prins%2C_all_in_the_family_trump/.%20http:/www.reuters.com/article/us-usa-court-gorsuch-idUSKBN17C10J
[33] https://millercenter.org/president/arthur/essays/lincoln-1881-secretary-of-war
[34] https://millercenter.org/president/arthur/essays/lincoln-1881-secretary-of-war
[35]https://www.whitehouse.gov/1600/presidents/benjaminharrison
[36]https://history.state.gov/departmenthistory/people/eisenhower-john-sheldon-doud
[37] https://www.whitehouse.gov/1600/presidents/richardnixon
[38] https://www.nytimes.com/2017/03/20/business/david-rockefeller-dead-chase-manhattan-banker.html
[39] http://www.nydailynews.com/new-york/nelson-rockefeller-dies-heart-attack-1979-article-1.2085034
[40] http://law.emory.edu/ecgar/content/volume-4/issue-special/essays-interviews/conflicts-president-law-trump-presidency.html
[41] http://www.pbs.org/newshour/updates/woodrow-wilson-stroke/
[42]http://www.nytimes.com/2008/09/20/business/worldbusiness/20iht-prexy.4.16321064.html
[43] http://www.businessinsider.com/the-bushes--a-wall-street-dynasty-2012-11
[44]https://www.forbes.com/sites/danalexander/2015/10/13/how-the-clintons-made-more-than-230-million-after-leaving-the-white-house/#27d7cb3c2ae3
[45] https://theintercept.com/2016/08/25/why-did-the-saudi-regime-and-other-gulf-tyrannies-donate-millions-to-the-clinton-foundation/
[46] https://www.nytimes.com/2017/03/31/us/politics/ivanka-trump-and-jared-kushner-still-benefiting-from-business-empire-filings-show.html
[47] https://www.nytimes.com/2017/04/02/us/politics/trump-china-jared-kushner.html
[48] https://www.bloomberg.com/news/articles/2017-03-29/kushners-seek-new-partners-for-tower-after-anbang-talks-collapse
[49] http://www.cnn.com/2017/03/27/politics/kushner-meeting-russian-banker-tied-to-putin/
[50] https://www.nytimes.com/2017/02/11/us/politics/jared-kushner-israel.html
[51] http://www.reuters.com/article/us-usa-trump-kushner-idUSKBN16Y19V
[52]http://www.tomdispatch.com/post/176273/tomgram%3A_nomi_prins%2C_all_in_the_family_trump/March%20https:/www.forbes.com/sites/danalexander/2017/03/24/after-promising-not-donald-talk-business-with-father-eric-trump-says-president-give-him-financial-reports#7eb6230359a1
[53]https://www.theatlantic.com/business/archive/2017/04/donald-trump-conflicts-of-interests/508382/
[54] https://www.whitehouse.gov/the-press-office/2017/04/17/readout-president-donald-j-trumps-call-president-recep-tayyip-erdogan
[55]http://hosted.ap.org/dynamic/stories/A/AS_BRAND_IVANKA_ASOL-?SITE=AP&SECTION=HOME&TEMPLATE=DEFAULT
[56] https://www.nytimes.com/2017/03/31/us/politics/ivanka-trump-and-jared-kushner-still-benefiting-from-business-empire-filings-show.html
[57]https://www.theatlantic.com/business/archive/2017/04/donald-trump-conflicts-of-interests/508382/
[58] http://www.newyorker.com/magazine/2017/03/13/donald-trumps-worst-deal
[59]https://www.theatlantic.com/business/archive/2017/04/donald-trump-conflicts-of-interests/508382/#Secret-Service
[60]https://www.theatlantic.com/business/archive/2017/04/donald-trump-conflicts-of-interests/508382/#Defense-Department
[61] https://www.washingtonpost.com/politics/president-trumps-company-pursues-second-washington-hotel/2017/03/29/dfd6ee8e-0f42-11e7-9d5a-a83e627dc120_story.html?utm_term=.656b6d4fd5a6
[62]http://www.independent.co.uk/news/world/americas/donald-trump-nearly-500000-trump-businesses-restaurants-hotels-golf-a7688506.html
[63]https://poll.qu.edu/images/polling/us/us04192017_Uwpg863m.pdf/
[64] https://www.nytimes.com/2017/04/07/us/white-house-kushner-bannon-military-strike.html
[65] http://www.cnn.com/2016/11/16/politics/trump-transition-jared-kushner-chris-christie/
[66] http://time.com/4631550/donald-trump-nelson-rockefeller-history-conflicts-interest/
[67] https://www.nytimes.com/2017/04/03/nyregion/kushner-companies-666-fifth-avenue.html
[68] https://www.nytimes.com/2017/04/03/nyregion/kushner-companies-666-fifth-avenue.html


กำลังโหลดความคิดเห็น