เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - ประธานาธิบดีปูติน ประกาศจากปักกิ่งวันจันทร์(15 พ.ค)เรียกร้องให้หาทางออกอย่างสันติ แต่ส่งสัญญาณตรงเตือนวอชิงตัน อย่าคุกคามเกาหลีเหนือ หลังเปียงยางทดสอบมิสไซล์วันอาทิตย์(14 พ.ค)ที่เชื่อว่าอาจมีระยะพิสัยไกลสุดเกือบเฉียดที่ตั้งทางทหารอเมริกา เกาะกวม แต่กลับพบว่า ก่อนหน้านี้เครมลินส่งกองกำลังอาวุธชุดใหญ่ตั้งสกัดใกล้พรมแดน เกาหลีเหนือ รวมไปถึงระบบต่อต้านจรวดมิสไซล์สุดทันสมัยS-400
CNN สื่อสหรัฐฯรายงานวันนี้(16 พ.ค)ว่า ในระหว่างเยือนจีน ประธานาธิบดีรัสเซีย ออกโรงประณามการทดสอบจรวดมิสไซล์ ฮวาซอง-12 (Hwasong-12 ) ของเกาหลีเหนือในวันจันทร์(15 พ.ค)
โดยปูติน ผู้นำรัสเซียยอมรับ การทดสอบของเปียงยางล่าสุด “เป็นอันตราย” แต่เตือน “ไม่ควรคุกคามเกาหลีเหนือ”
ทั้งนี้ในการให้สัมภาษณ์ สื่อสปูนิกของรัสเซียรายงานว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าว ที่ดูเหมือนเป็นเชิงยอมรับว่า เกาหลีเหนือนั้นรวมอยู่ในกลุ่มชาติมหาอำนาจทางนิวเคลียร์ไปแล้ว
“ผมอยากยืนยันตรงนี้เลยว่า เรากำลังเผชิญหน้าต่อการขยายตัวของกลุ่มชาติที่มีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในความครอบครอง ที่มีคาบสมุทรเกาหลีรวมอยู่ด้วย” วลาดิมีร์ ปูตินแถลง
และกล่าวต่อว่า “เราต่อต้านและลงความเห็นว่า เป็นสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ ทำลายล้าง และอันตราย” ปูตินแถลงต่อ
แต่อย่างไรก็ตาม CNN กล่าวว่า ความเห็นต่อไปของปูตินเหมือนจะพุ่งเป้าไปที่สหรัฐฯ โดยผู้นำรัสเซียกล่าวว่า “การข่มขู่คุกคาม(เกาหลีเหนือ) เป็นสิ่งที่รับไม่ได้”
เป็นที่น่าสังเกตุว่า ดูเหมือนผู้นำรัสเซียไม่กังวลถึงภัยคุกคามจรวดมิสไซล์เกาหลีเหนือแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าในการรายงานเบื้องต้น อ้างอิงจากรอยเตอร์ แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯระบุว่า มิสไซล์ตกใกล้พรมแดนรัสเซีย
ซึ่ง CNN สื่อสหรัฐฯได้ชี้ต่อว่า แต่สำหรับในส่วนเกาหลีเหนือ ทางเปียงยางล่าสุดออกมาแถลงระบุว่า “การทดสอบมิสไซล์นั้นคือการตอบโต้ต่อภัยคุกคามทางนิวเคลียร์ และภัยที่เกิดจากน้ำมือสหรัฐฯและชาติที่ตามหลังสหรัฐฯ”
โดยเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำปักกิ่ง จี แจ รยอง(Ji Jae Ryong)ได้ยืนยันในสิ่งนี้ จากการแถลงทันทีในกรุงปักกิ่งเมื่อวานนี้(15 พ.ค) โดยกล่าวว่า “เราสามารถทำการทดสอบขีปนาวุธพิสัยข้ามทวีป ICBM เมื่อไหร่ก็ได้ ในความสอดคล้องกับการตัดสินใจที่จะออกมาจากผู้นำส่วนกลางของเรา”
ผู้นำรัสเซียเลือกที่จะออกมาส่งสัญญาณในวันจันทร์(15 พ.ค) เตือนสหรัฐฯให้นิ่งเฉยต่อมิสไซล์เกาหลีเหนือ ฮวาซอง-12 ที่จากการทดสอบเมื่อวันอาทิตย์(14 พ.ค)พบว่า สามารถไต่อยู่ในความสูงสุดที่ระดับ 2,111.5 ก.ม และเดินทางไปได้ไกลในระยะ 787 ก.ม อ้างอิงจากการแถลงของสำนักข่าวเกาหลีเหนือKCNA และในการประเมินของนักวิเคราะห์ในภายหลัง ต่างเชื่อว่าอาจถึงขั้นเกาะกวม ดินแดนสหรัฐฯ
ทั้งนี้ในรายงานของสื่อรัสเซีย RT ในวันอาทิตย์(14 พ.ค) กระทรวงกลาโหมรัสเซียออกแถลงยอมรับว่า ขีปนาวุธเกาหลีเหนือนั้นตกห่างจากรัสเซียไปแค่ 500 ก.มเท่านั้น โดยระบบเตือนภัยมิสไซล์ล่วงหน้า SPRN ของรัสเซีย สามารถจับสัญญาณการยิงขีปนาวุธพิสัยกลาง ฮวาซอง-12 ได้ในเวลา 08.30 GM.วันเสาร์(13 พ.ค)
“มิสไซล์เป้าหมายถูกติดตามในการบินโดยระบบเตือนภัยมิสไซล์ SPRN เป็นเวลา 23 นาทีก่อนที่จะตกลงไปในตอนกลางทะเลญี่ปุ่น ห่างจากดินแดนรัสเซียไปราว 500 ก.ม” แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย MOD
และในแถลงการณ์ยังชี้ว่า มิสไซล์ ฮวาซอง-12 ที่ถูกยิงทดสอบนี้ดูเหมือน “ไม่เป็นอันตรายต่อรัสเซีย” โดยระบุว่า “มิสไซล์ที่ถูกยิงออกมาไม่แสดงถึงอันตรายต่อสหพันธรัฐรัสเซีย ระบบเรดาร์การเตือนภัยมิสไซล์ล่วงหน้า SPRN และกองกำลังอากาศรัสเซีย ยังคงอยู่ในการปฎิบัติหน้าที่ตามปกติในเวลานี้”
ซึ่งสื่อ RT ได้อ้างอิงไปถึง การให้ความเห็นของนักข่าวสหรัฐฯ บริซิโอ เซโกเวีย(Bricio Segovia)ที่โพสต์ภาพแถลงการณ์MODรัสเซีย ในวันอาทิตย์(14 พ.ค)ทางทวิตเตอร์ และได้ให้ความเห็นว่า “ในขณะที่วอชิงตันเรียกร้องให้มีการออกมาตรการแข็งกร้าวเด็ดขาดต่อการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ หลังการทดสอบมิสไซล์ ซึ่งทั้งสหรัฐฯและเกาหลีใต้เห็น “เป็นการยั่วยุ” แต่จีนกลับเรียก “ให้อดกลั้น””
วันอาทิตย์(14 พ.ค)ณอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาวแถลงว่า "ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่สามารถจินตนาการได้ว่า ประธานาธิบดีรัสเซียจะยินดี โดยชี้ให้เห็นว่า ขีปนาวุธเกาหลีเหนือนั้นตกใกล้เขตรัสเซียมากกว่าญี่ปุ่นเสียอีก"
ซึ่งจากหนึ่งในภาพจำลองจุดตกของสื่อ CNN แผนที่ A. แสดงให้เห็นว่า มิสไซล์ ฮวาซอง-12 ที่เดินทางไปไกล 787 ก.ม และระดับสูง 2,000 ก.ม นั้นอาจมีระยะพิสัยทำการครอบคลุมไปถึงเมืองท่าวลาดิวอสต็อกของรัสเซีย> แต่อย่างไรก็ตาม สื่อสหรัฐฯระบุในแผนภาพจำลองว่า เป็นการจำลองที่ไม่ได้ตามสัดส่วนของแผนที่จริง
โดยในรายงานของรอยเตอร์เมื่อวันอาทิตย์(14 พ.ค)ซึ่งเป็นวันทดสอบ แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ให้ข้อมูลว่า ในการประเมินเบื้องต้น พบว่า มิสไซล์ลูกนี้ตกนอกฝั่งทางใต้ของภูมิภาควลาดิวอสต็อก รัสเซีย ไปราว 97 ก.ม
และในรายงานของ CNN ยังกล่าวต่อถึงแถลงการณ์ของสื่อเกาหลีเหนือ KCNA ซึ่งระบุว่า “การทดสอบได้แสดงให้เห็นว่า เกาหลีเหนือมีอาวุธที่มีศักยภาพในมือที่จะตอบโต้ต่อการโจมตีได้” ในการที่วอชิงตันจะใช้กำลังทางทหารเพื่อที่จะหยุดโครงการพัฒนาอาวุธเกาหลีเหนือ
โดยสื่อสหรัฐฯได้แสดงภาพระยะพิสัยของ ฮวาซอง-12 ที่ทางผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า น่าจะมีระยะทำการได้ไกลถึง 4,500 ก.ม คาวดว่าจะถึงดินแดนสหรัฐฯ เกาะกวมซึ่งเป็นที่ตั้งฐานทัพอากาศแอนเดอร์สัน(Andersen Air Force Base)ฐานประจำการของเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นB-1 รุ่นB-2 และรุ่นB-52
ทั้งนี้ อ้างอิงจากเว็บไซต์ distancefromto แสดงให้เห็นว่า ระยะทางจากเกาะกวมไปถึงเกาหลีเหนือนั้นอยู่ที่ 3,425 ก.ม ซึ่งทาง distancefromto ระบุว่า หากใช้เวลาเดินทางด้วยเครื่องบินจากเกาะกวมไปถึงเกาหลีเหนือ จะใช้เพียงแค่ 3.8 ช.มเท่านั้น
และในแผนที่ B. พบว่าพิสัยทำการของมิสไซล์ ฮวาซอง-12 ยังคลอบคลุมรัศมีไปปยังประเทศต่างๆในบริเวณที่นอกจาก เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รัสเซียแล้ว ยังรวมต่อไปถึง ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ไทย และจีน เป็นต้น
สื่อสหรัฐฯรายงานเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าความสัมพันธ์ว่า รัสเซียเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกนี้ที่ออกมาปกป้องเกาหลีเหนือ และมีความสัมพันธ์ทางการทูต โดยพบว่า อดีตประธานาธิบดี คิม จอง อิล บิดาของผู้นำเกาหลีเหนือคนปัจจุบัน เคยเดินทางไปเยือนกรุงมอสโกอย่างเป็นทางการในปี 2011 และก่อนหน้านั้น ปูตินได้ไปเยือนเกาหลีเหนือในปี 2000
ทั้งนี้แมทธิว แชนซ์ ( Matthew Chance) ผู้สื่อข่าว CNN ประจำกรุงมอสโกได้ให้ความเห็นถึงเหตุผลที่รัสเซียเลือกที่จะอยู่ข้างเกาหลีเหนือ โดยกล่าวว่า “ในขณะที่รัสเซียให้ความกังวลกับเกาหลีเหนือและอาวุธมิสไซล์ของเกาหลีเหนือ รัสเซียยังมองเกาหลีเหนือเป็นเสมือนเป็นแต้มต่อรองไว้ถ่วงดุลกับโลกตะวันตก โดยเฉพาะกับสหรัฐฯ”
และแชนซ์กล่าวต่อว่า “รัสเซียไม่ต้องการให้เกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์ แต่การแถลงเป็นทางการจากกรุงมอสโกนั้นอยู่ในวงจำกัด เพราะรู้ดีว่า “รัสเซีย” ไม่ใช่หนึ่งในเป้าของเปียงยาง”
สอดคล้องกับความเห็นชาวรัสเซียที่ได้แสดงผ่านสื่อ RT หลังจากเกาหลีเหนือทดสอบมิสไซล์พิสัยกลาง ที่ต่างเชื่อว่า รัสเซียไม่ได้ตกเป็นเป้าของเปียงยาง เนื่องจากรัสเซียนั้นต่างจากสหรัฐฯที่มอสโกไม่เคยต้องการทำสงครามกับเกาหลีเหนือ
โดยหนึ่งในยูสเซอร์ที่ให้ความเห็น โคมไฟสีม่วง(Purple Lamp) ได้กล่าวว่า “กรุงวาติกันและวอชิงตันเป็นรัฐไม่อิงพระเจ้าสมบูรณ์แบบ แต่รัสเซียได้ตระหนักตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่า เกาหลีเหนือไม่ใช่ศัตรูต่อรัสเซีย และรัสเซียไม่เคยคิดทำลายเกาหลีเหนือมานานกว่า 50 ปี ซึ่งต่างจากพวกชาติตะวันตกที่ยังคงกระทำอยู่ในเวลานี้”
อย่างไรก็ตามถึงฉากหน้า ประธานาธิบดีรัสเซียจะออกมาเรียกร้องขอให้มีทางออกอย่างสันติกับเกาหลีเหนือ และประกาศห้าม “คุกคาม” แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว มอสโกไม่ดูเหมือนว่า จะเชื่อมั่นว่าอาวุธของเกาหลีเหนือจะไม่ทำอันตรายต่อดินแดนรัสเซีย
โดยในคำให้สัมภาษณ์ของวิคเตอร์ โอเซรอฟ(Viktor Ozerov) ประธานคณะกรรมาธิการทหารประจำสภาสูงรัสเซีย(The Federation Council ) ได้ออกมาให้ความเห็นกับสื่อรัสเซีย RBTH เมื่อวันที่ 3 พ.ค ล่าสุดว่า
“รัสเซียติดตามความก้าวหน้าของเกาหลีเหนืออย่างใกล้ชิด” และชี้ว่า รัฐบาลรัสเซีย “ไม่เชื่อว่าดินแดนรัสเซียจะไม่ตกเป็นเป้าของอาวุธมิสไซลด์ใดๆของเกาหลีเหนือ”
ซึ่งโอเซรอฟยืนยันว่า “ในอีกทางหนึ่ง อาวุธก็คืออาวุธ และทางกองทัพของเราจะทำทุกสิ่งเพื่อป้องกันอุบัติเหตุการถูกโจมตีด้วยอาวุธมิสไซล์ต่อดินแดนที่เหตุการณ์ไม่คาดฝันไม่สมควรเกิด”
และการที่จะทำให้ภัยคุกคามนี้หมดไป ทางการรัสเซียได้พิจารณาถึงการซ้อมรบในเขตตะวันออกไกลรัสเซีย(เขตติดกับญี่ปุ่นและเกาหลีเหนือ) และความพร้อมของกำลังพลต่อการเกิดสงครามบริเวณพรมแดน
โดยนักวิเคราะห์ทางการทหารรัสเซีย อเล็กซี รามม์(Alexei Ramm) ประจำ
หนังสือพิมพ์รัสเซียอิซเวสเตีย(Izvestia) ให้ความเห็นว่า “มิสไซล์เกาหลีเหนืออาจมุ่งหน้าเข้าหาเรา(รัสเซีย) “ตามลม” ”
และยืนยันว่า “รัสเซียได้ออกคำสั่งไปยังหน่วยกองกำลังอากาศยานหน่วยตะวันออกไกลรัสเซียทุกนาย ถูกเรียกตัวจากการลาพัก และอยู่ในการเตรียมความพร้อมตลอดเวลา”
ซึ่งสื่อ RBTH ระบุว่า ระบบต่อต้านอากาศยาน S-400 ที่ทันสมัยถูกส่งไปติดตั้งเพิ่มเติมในเขตนี้ โดยมีศักยภาพการทำลายจรวดมิสไซล์ข้าศึกในระยะ 400 ก.มได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อ้างอิงจากรามม์ พบว่า ได้มีคำสั่งให้ระบบต่อต้านอากาศยาน S-400 เตรียมความพร้อมอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งได้ถูกใช้ในการเฝ้ามอนิเตอร์น่านฟ้า และติดตามเป้าหมาย แต่ในปัจจุบัน รามม์ชี้ว่า มีคำสั่งลงมาให้สามารถยิงทำลายขีปนาวุธใดๆที่จะออกมาจากข้าศึกได้
นักวิเคราะห์การทหารรัสเซียคนนี้ยังกล่าวเพิ่มเติมต่อว่า “นอกเหนือไปจากนี้ ยังมีการนำกระสุนสำหรับระบบต่อต้านขีปนาวุธได้ถูกเตรียม และนำออกมาจากคลังแสง รวมไปถึงทุกระบบการต่อต้านทางอากาศและอื่นๆนั้นอยู่ในขั้นเตรียมความพร้อม”
ทั้งนี้มีข่าวลืออย่างหนาหูออกมาในช่วงวันที่ 19 เม.ย ถึงการเคลื่อนย้ายขุมกำลังอาวุธรัสเซียเข้าสู่พรมแดนเขตตะวันออกไกล โดยชาวรัสเซียในพื้นที่ได้เริ่มพากันส่งภาพความเคลื่อนไหว เป็นต้นว่า วิดีโอคลิป แสดงคอนวอยอาวุธหนักผ่าน Khabarovsk ไปยังเขตPrimorsky Krai ( Maritime Territory) มุ่งหน้าไปยังพรมแดนที่ติดเกาหลีเหนือ
โดยหนึ่งในนั้นคือ โอลกา โดมาโนวา(Olga Domanova ) ผู้ถ่ายคลิป และได้เผยแพร่ลงบนยูทิวบ์ และแสดงความเห็นในภาษารัสเซียระบุว่า “พวกคุณกล่าวว่า ข่าวจากเกาหลีเหนือเป็นล้วนเรื่องเหลวไหล แต่วันนี้ซึ่งเป็นวันอีสเตอร์(16 เม.ย) มีรถไฟถึง 3 ขบวนเข้าไปแล้ว ขนอาวุธหนัก อย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก เหมือนกับมีอะไรกำลังเกิดขึ้นที่นั่น บริเวณพรมแดนติดเกาหลีเหนือ” อ้างอิงจากการรายงานของรัสเซีย RBTH
CNN ได้รายงานถึงการพัฒนาทางการทูตของ 2 ประเทศล่าสุด เป็นต้นว่า มอสโกได้ให้ใบอนุญาตแรงงานเกาหลีเหนือ 50,000 คนเพื่อเข้าทำงานแบบไม่ต้องใช้ทักษะในโปรเจกต์ของรัสเซีย และโครงการเรือเฟอร์รีวิ่งระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซีย
แต่อย่างไรก็ตาม จากการอัพเด็ตล่าสุดถึงโครงการเรือเฟอร์รี บริษัทการเดินเรือรัสเซียผู้รับผิดชอบออกมาให้ความเห็นกับสื่อ NHK ญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 3 พ.คว่า การเปิดให้บริการอาจต้องเลื่อนออกไปอีกครั้ง เนื่องมาจากใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับการท่ารัสเซียยังไม่แล้วเสร็จสิ้นในการพิจารณา
โดยก่อนหน้านี้มีรายงานว่า เรือเฟอร์รี แมน กยอง บอง(Man Gyong Bong)ติดธงชาติเกาหลีเหนือ จะเริ่มต้นเปิดให้บริการเดินเรือระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซีย จะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 8 พ.ค แต่ทว่า NHK ระบุว่า เชื่อว่าอาจต้องถูกเลื่อนออกไปเป็นช่วงปลายเดือน หรือหลังจากนั้นแทน