xs
xsm
sm
md
lg

ปธน.ใหม่โซล หารือ “ทรัมป์-สี-อาเบะ” เห็นพ้องร่วมมือปราบพยศ “โสมแดง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ประธานาธิบดีมุน แจอิน ของเกาหลีใต้ พูดโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จากบ้านของเขาในกรุงโซลในคืนวันพุธ (10 พ.ค.)  ภาพนี้ถ่ายโดยทำเนียบประธานาธิบดีโสมขาวและสำนักข่าวยอนฮัปนำออกเผยแพร่
เอเจนซีส์ - มุน แจอิน ประธานาธิบดีใหม่หมาดๆ ของเกาหลีใต้ ต่อสายหารือผู้นำสามชาติมหาอำนาจ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ โดยประเด็นสำคัญที่สุดคือการกระชับความร่วมมือเพื่อจัดการกับโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของโสมแดง ขณะที่เปียงยางแก้เกี้ยวฟ้องนักการทูตต่างชาติว่า ซีไอเอกำลัง “ท้าทายและประกาศสงครามอย่างอุบาทว์ที่สุด” ด้วยการวางแผนลอบสังหารผู้นำคิมด้วยอาวุธเคมี

ยุน ยังชาน โฆษกของประธานาธิบดีมุน เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า มุนได้หารือทางโทรศัพท์นาน 40 นาทีกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ในวันพฤหัสบดี (11 พ.ค.) และผู้นำทั้งคู่ระบุว่า การปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือเป็นเป้าหมายร่วมกันของสองประเทศ

ปักกิ่งและโซลคบหากันชื่นมื่นขึ้นในช่วงต้นของคณะบริหารชุดที่แล้วของอดีตประธานาธิบดีพัค กึน-ฮเย เนื่องจากมีความทรงจำเลวร้ายร่วมกันจากการถูกญี่ปุ่นกดขี่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

อย่างไรก็ตาม สองประเทศเริ่มหมางเมินกัน หลังจากเกาหลีใต้ตกลงติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธในบรรยากาศขั้นสูง “ทาด” ของสหรัฐฯ เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ

มุนที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันพุธ (10) หรือหนึ่งวันหลังชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้นในวันอังคาร (9) บอกกับสีว่า เข้าใจดีเกี่ยวกับความกังวลของจีน และสำทับว่า ปัญหาเกี่ยวกับระบบทาดจะได้รับการสะสางหลังจากเปียงยางเลิกการกระทำที่ยั่วยุ

มุน ซึ่งได้ชัยชนะในการเลือกตั้งจากการชูนโยบายทบทวนการติดตั้งทาด ยังขอร้องสีให้ความสนใจเป็นพิเศษเพื่อผ่อนคลายกระแสการต่อต้านบริษัทเกาหลีใต้ที่ทำธุรกิจในจีน ซึ่งเกิดขึ้นสืบเนื่องจากการติดตั้งทาดที่เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนมีนาคมปีนี้

เกี่ยวกับเกาหลีเหนือนั้น มุนต้องการฟื้นการเจรจาควบคู่กับการใช้มาตรการแซงก์ชัน ต่างจากรัฐบาลอนุรักษนิยมชุดที่แล้วและคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่สนับสนุนการเพิ่มมาตรการลงโทษคว่ำบาตรและขู่ใช้ปฏิบัติการทางทหาร

อย่างไรก็ดี มุนย้ำแนวทางของวอชิงตันว่า ปักกิ่งควรมีบทบาทมากขึ้นในการกำราบเกาหลีเหนือ
ประธานาธิบดีมุน แจอิน ของเกาหลีใต้ พูดโทรศัพท์กับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จากทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงโซลในวันพฤหัสบดี (11 พ.ค.)  ภาพนี้ถ่ายโดยทำเนียบประธานาธิบดีโสมขาวและสำนักข่าวยอนฮัปนำออกเผยแพร่
ผู้นำทั้งคู่เห็นพ้องแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนพิเศษโดยเร็ว โดยมุนเสนอส่งผู้แทนไปปักกิ่ง และสีเชิญประธานาธิบดีใหม่โสมขาวเยือนจีน

ในวันเดียวกันนั้น มุนยังหารือทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะของญี่ปุ่น นาน 25 นาที และทั้งคู่หวังว่า จะได้พบกันในเร็ววัน รวมทั้งต่างเชิญอีกฝ่ายเดินทางไปเยือน

มุนยังกล่าวว่า ปัญหาในอดีตควรได้รับการแก้ไข “อย่างฉลาด” และไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างกันหรือความพยายามในการจัดการกับเกาหลีเหนือ

ประมุขโสมขาวบอกกับอาเบะว่า คนเกาหลีส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้กับข้อตกลงเมื่อปลายปี 2015 ที่ญี่ปุ่นกล่าวคำขอขมาพอเป็นพิธีและจ่ายเงินชดเชยให้แก่ “หญิงบำเรอกาม” ที่ยังมีชีวิตอยู่ และมองว่า โตเกียวไม่พยายามมากพอในการดำเนินการตามข้อตกลง ขณะที่อาเบะเห็นด้วยว่า การดำเนินการตามข้อตกลงดังกล่าวให้เสร็จสมบูรณ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีผู้หญิง 200,000 คน ส่วนใหญ่จากเกาหลี นอกนั้นเป็นคนจีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ถูกบังคับไปทำงานเป็นหญิงบำเรอกามในซ่องทหารของญี่ปุ่น

การหารือกับสีและอาเบะในวันพฤหัสบดี (11) มีขึ้นหลังจากที่มุนคุยโทรศัพท์กับทรัมป์เมื่อคืนวันพุธ(10) และทั้งสองเห็นพ้องในการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อจัดการกับโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

สหรัฐฯ นั้นเป็นผู้ค้ำประกันความมั่งคงปลอดภัยของโสมขาวและมีทหารประจำอยู่ในเกาหลีใต้ 28,500 คนในขณะนี้ อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างกันเริ่มง่อนแง่นหลังจากที่ทรัมป์แสดงท่าทีว่า โซลควรเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบทาดมูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์เอง

นับจากต้นปี เปียงยางทดสอบนิวเคลียร์สองครั้งและยิงจรวดเกินสิบรอบ ทั้งยังประกาศว่า กำลังพัฒนาขีปนาวุธติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ที่ไปได้ไกลถึงแผ่นดินใหญ่อเมริกา

สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นทุกทีเนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างผลัดกันข่มขู่อย่างก้าวร้าว กระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ ทรัมป์จึงลดท่าทีลงโดยบอกว่า จะเป็นเกียรติอย่างยิ่งถ้าได้พบกับคิม จองอึน ผู้นำโสมแดง

อย่างไรก็ดี เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เกาหลีเหนือกล่าวหาว่า สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (ซีไอเอ) วางแผนลอบสังหารคิมด้วยอาวุธเคมี และวันพฤหัสลดร ฮัน ซอง-รยอล รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศเกาหลีเหนือ ได้สรุปเรื่องนี้ให้นักการทูตต่างชาติในเปียงยางฟัง และระบุว่า เป็น “การท้าทายและการประกาศสงครามที่อุบาทว์ที่สุด”


กำลังโหลดความคิดเห็น