xs
xsm
sm
md
lg

โคตรกร่อย! “มะกัน-ปินส์” เปิดซ้อมรบร่วม “บาลิกาตัน” ใช้ทหารแค่ 5,000 เศษ เน้นรับมือภัยพิบัติ-ไม่ท้าทาย “จีน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

(จากซ้ายไปขวา) พล.ท.ออสการ์ ลักเตา ผู้อำนวยการซ้อมรบฝ่ายฟิลิปปินส์, ซุง คิม เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำฟิลิปปินส์, เดลฟิน โลเรนซานา รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์, อาเรียล อาบาดิลลา ปลัดกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์, เอดูอาร์โด อาโน ผู้บัญชาการกองทัพฟิลิปปินส์ และ พล.ท.ลอว์เรนซ์ นิโคลสัน ผู้อำนวยการซ้อมรบฝ่ายสหรัฐฯ คล้องแขนในพิธีเปิดการซ้อมรบร่วมประจำปีภายใต้รหัส “บาลิกาตัน” ที่ แคมป์ อากีนัลโด เมืองเกซอนซิตี ชานกรุงมะนิลา วันนี้ (8 พ.ค.)
เอเอฟพี - กองทัพฟิลิปปินส์และสหรัฐฯ จัดพิธีเปิดการซ้อมรบร่วมประจำปีที่กรุงมะนิลาในวันนี้ (8 พ.ค.) ทว่ากิจกรรมการฝึกซ้อมได้ลดขนาดลงอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนจุดยืนของประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ที่ต้องการเว้นระยะห่างกับพันธมิตรเก่าแก่อย่างอเมริกา เพื่อหันไปกระชับความสัมพันธ์กับจีนและรัสเซีย

ตลอด 10 เดือนที่เข้าบริหารประเทศ ดูเตอร์เตเลือกที่จะตีตัวออกห่างจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นทั้งหุ้นส่วนด้านกลาโหมและอดีตเจ้าอาณานิคมฟิลิปปินส์ โดยเขาบอกว่าความเป็นมหาอำนาจของอเมริกานั้นกำลังอยู่ในช่วง “ขาลง”

การซ้อมรบภายใต้รหัส “บาลิกาตัน” ซึ่งจะใช้เวลารวม 12 วัน มีทหารจาก 2 ฝ่ายเข้าร่วมไม่ถึงครึ่งของเมื่อปี 2015 ซึ่งเป็นช่วงที่มะนิลายังอยู่ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีเบนิโญ อากีโน ผู้มีจุดยืนโปรอเมริกา นอกจากนี้ยังไม่เน้นเพิ่มศักยภาพด้านการป้องกันทางทะเลให้กับฟิลิปปินส์เพื่อตอบโต้การอ้างกรรมสิทธิ์ในทะเลจีนใต้ของปักกิ่งเหมือนเช่นทุกปี

ในขณะที่ อากีโน เลือกใช้ยาแรงจัดการข้อพิพาททางทะเลกับจีน โดยยื่นฟ้องศาลอนุญาโตตุลาการถาวรที่กรุงเฮกให้เข้ามาตัดสินว่าการอ้างกรรมสิทธิ์ของจีนในทะเลจีนใต้นั้นชอบธรรมหรือไม่ แต่ ดูเตอร์เต กลับเลือกที่จะพักข้อพิพาทนี้ไว้ก่อน และหันมาเจรจาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การเมือง และการทหารกับจีนแทน

ขณะไปเยือนกรุงปักกิ่งเมื่อปีที่แล้ว ดูเตอร์เต ซึ่งประกาศตัวเป็นนักสังคมนิยมกล่าวว่า เขาได้ “ปรับตัวให้เข้ากับกระแสความนิยม” ของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน

รัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคของบารัค โอบามา ได้คัดค้านและวิจารณ์การทำสงครามยาเสพติดของดูเตอร์เต ซึ่งทำให้ชาวฟิลิปปินส์หลายพันถูกล่าสังหารโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม ขณะที่นักสิทธิมนุษยชนเตือนว่านโยบายเช่นนี้เข้าข่ายก่อ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”

ดูเตอร์เต ออกมาตอบโต้สหรัฐฯ อย่างเผ็ดร้อน ทั้งการด่า โอบามา ว่าเป็น “ลูกกะหรี่” และยังขู่จะตัดความร่วมมือด้านกลาโหมกับอเมริกา

การเถลิงอำนาจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ความสัมพันธ์สหรัฐฯ กับฟิลิปปินส์เริ่มอบอุ่นขึ้นบ้าง แต่ถึงกระนั้น ดูเตอร์เต ก็ยังส่งสัญญาณชัดเจนว่าต้องการใกล้ชิดกับจีนและรัสเซียมากกว่า

ดูเตอร์เต จะเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งในสัปดาห์หน้า ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 2 ของเขาในช่วงเวลาไม่ถึง 1 ปี และยังมีกำหนดพบปะประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่กรุงมอสโกในเดือนนี้ด้วย

สัปดาห์ที่แล้ว ดูเตอร์เตระบุว่า เขาอาจจะ “ไม่ว่าง” ไปเยือนทำเนียบขาวตามคำเชิญของทรัมป์ แม้ทางสหรัฐฯ จะยังไม่ได้นัดหมายวันเวลาเลยก็ตาม
พล.ท.ออสการ์ ลักเตา ผู้อำนวยการซ้อมรบของฟิลิปปินส์ (ซ้าย) และ พล.ท.ลอว์เรนซ์ นิโคลสัน ผู้อำนวยการฝ่ายสหรัฐฯ คลี่ผืนธงซึ่งมีตราสัญลักษณ์ปฏิบัติการซ้อมรบร่วม “บาลิกาตัน” ที่ แคมป์ อากีนัลโด เมืองเกซอนซิตี ชานกรุงมะนิลา วันนี้ (8 พ.ค.)
ผู้อำนวยการซ้อมรบฝ่ายฟิลิปปินส์และสหรัฐฯ ได้กล่าวในพิธีเปิดการซ้อมรบที่ศูนย์บัญชาการกองทัพชานกรุงมะนิลาว่า การซ้อมรบในปีนี้จะมุ่งเน้นที่การ “บรรเทาภัยพิบัติและต่อต้านก่อการร้าย” เป็นหลัก โดยมีทหารอเมริกันเข้าร่วม 2,600 นาย และทหารฟิลิปปินส์ 2,800 นาย

“บาลิกาตัน” ซึ่งมีความหมายว่า “เคียงบ่าเคียงไหล่” เป็นการฝึกยุทธวิธีร่วมระหว่างสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ในทะเลจีนใต้หรือน่านน้ำใกล้เคียง โดยเมื่อปี 2015 มีทหารจากทั้ง 2 ชาติเข้าร่วมถึง 12,000 นาย

พล.ท.ลอว์เรนซ์ นิโคลสัน ผู้อำนวยการร่วมฝ่ายอเมริกาในภารกิจ “บาลิกาตัน” ปีนี้ระบุว่า กองทัพสหรัฐฯ หวังว่าการซ้อมรบร่วมกับมะนิลาจะขยายขอบเขตได้มากกว่านี้ในอนาคต

“หากมองย้อนไปตลอด 33 ปีของการซ้อมรบบาลิกาตันจะเห็นได้ว่า มันไม่เหมือนกันเลย มันอาจเปลี่ยนแปลงไปได้หลายทาง ทั้งใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง แต่เราก็หวังว่ามันจะใหญ่ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นับจากนี้” นิโคลสัน บอกกับสื่อมวลชน

หนึ่งในภารกิจหลักของปีนี้คือการฝึกจำลองสถานการณ์เมื่อมีไต้ฝุ่นขนาดใหญ่ซัดถล่มภาคตะวันออกของฟิลิปปินส์ และเคลื่อนตัวผ่านพื้นที่ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น รวมถึงกรุงมะนิลา

หมู่เกาะฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นปีละไม่ต่ำกว่า 20 ลูก และส่วนใหญ่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรง

กองทัพสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยซูเปอร์ไต้ฝุ่น “ไห่เยี่ยน” ซึ่งซัดถล่มฟิลิปปินส์เมื่อปลายปี 2013 และเป็นพายุหมุนที่มีความรุนแรงขณะขึ้นฝั่งสูงที่สุดเท่าที่โลกเคยบันทึกไว้

มหาวาตภัยครั้งนั้นคร่าชีวิตชาวฟิลิปปินส์ไปมากกว่า 7,300 คน และตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจเพิ่มขึ้นกว่านี้ หากเรือรบสหรัฐฯ ไม่รีบเดินทางเข้าไปส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัย
ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต แห่งฟิลิปปินส์

กำลังโหลดความคิดเห็น