เอเอฟพี - “เอมมานูเอล มาคร็อง” ผู้มีแนวคิดแบบสายกลางที่ฝักใฝ่ยุโรป อาชีพทางการเมืองของเขานั้นค่อนข้างโลดโผน ทั้งยังมีชีวิตสมรสที่แหกคอกผิดจากคนทั่วไป ชายผู้นี้สัญญาว่าจะทำให้ฝรั่งเศสมีความทันสมัย ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสคราวนี้
หากเขาได้รับชัยชนะ อดีตนายธนาคารวัย 39 ปีรายนี้จะกลายเป็นผู้นำฝรั่งเศสที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของแดนน้ำหอมยุคใหม่ คว่ำประเพณีเก่าๆ ที่มักจะเห็นว่าคนฝรั่งเศสชอบโหวตลงคะแนนให้ผู้มากประสบการณ์มาเป็นประธานาธิบดี
ในการเลือกตั้งครั้งแรกของเขา “มาคร็อง” ได้รับชัยชนะด้วยคะแนนโหวตประมาณ 24 เปอร์เซ็นต์ จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรกเมื่อวันอาทิตย์ (23) ทำให้เขาได้เข้าไปสู้ต่อในรอบที่ 2 ซึ่งจะลงคะแนนเลือกตั้งในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้ โดยมีคู่แข่งเป็น “มารีน เลอ แปน” ผู้นำพรรคการเมืองขวาจัด “เนชันแนล ฟรอนต์”
“เรากำลังพลิกหน้าประวัติศาสตร์การเมืองของฝรั่งเศส” มาคร็องที่กำลังร่าเริงบอกเอเอฟพี หลังจากได้รับทราบผลการประเมินคะแนนโหวต
การสำรวจความคิดเห็นล่าสุดที่ทำขึ้นเมื่อวันอาทิตย์พบว่า มาคร็องจะได้รับชัยชนะอีก ด้วยคะแนนเสียงราว 2 ใน 3 หากมีการจัดเลือกตั้งรอบสองในวันนั้นเลย
การได้รับชัยชนะในรอบแรกเป็นสิ่งที่ช่วยค้ำจุนการตัดสินใจของเขาที่ถอนตัวออกมาจาก “โซเชียลลิสต์” ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลฝรั่งเศสที่กำลังเสื่อมความนิยมของประธานาธิบดีฟรองซัวร์ ออลลองด์ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อมาสร้างกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบสายกลางของเขาเองที่มีชื่อว่า “ออง มาเช”
“เราไม่อาจตอบสนองได้ด้วยคนเดิมๆ แนวคิดเดิมๆ” มาคร็องกล่าวไว้เมื่อตอนที่เขาเริ่มลงสู้ศึกชิงตำแหน่งผู้นำฝรั่งเศสเมื่อเดือนพฤศจิกายน
นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็แทบจะไม่เคยหลุดออกจากข่าวพาดหัวของสื่อแดนน้ำหอม กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขายังมีสมาชิกมากกว่า 250,000 ราย ทำเอาเหล่านักวิจารณ์พากันงงงวย เพราะเคยเย้ยหยันเขาไว้ว่าจะดึงดูดใจได้แต่พวกวัยรุ่นในวงแคบๆ กับพวกนักวิชาการในเมือง
“ในนามของพวกคุณทุกคน ผมจะเป็นเสียงแห่งความหวังให้กับประเทศฝรั่งเศสและยุโรป” เขาบอกกับกองเชียร์ที่กำลังยินดีเมื่อวันอาทิตย์
มาคร็องเป็นนักศึกษาที่ปราดเปรื่อง ผ่านการเล่าเรียนจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของฝรั่งเศสหลายแห่ง รวมถึง ENA อันเป็นสถานที่ขัดเกลาผู้นำฝรั่งเศสมาแล้วหลายคน
หลังจากเข้าไปลงทุนในด้านการธนาคารซึ่งทำให้เขาได้เงินก้อนโตหลายล้านยูโรจาก “รอธไชลด์” มาคร็องก็ได้กลายเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีฟรองซัวร์ ออลลองด์ ในปี 2012 หลังจากนั้นก็ได้เป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจในอีก 2 ปีต่อมา
ในช่วงของการหาเสียง เขาได้ยืนกรานว่าชาวฝรั่งเศสคือพวกสวนกระแส ที่พร้อมจะลงคะแนนเลือกผู้ฝักใฝ่อียู หรือผู้มีแนวคิดเสรีนิยมฝักใฝ่โลกาภิวัตน์ แม้ว่าในช่วงเวลานั้นกระแสชาตินิยมขวาจัดกำลังแผ่ขยายไปทั่วโลก
นอกเหนือจากความต้องการที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ มาคร็องยังได้เน้นย้ำว่าจำเป็นที่จะต้องเร่งยกระดับการศึกษาในพื้นที่กันดาร ทั้งยังเคยบอกด้วยว่าต่อต้านการสร้างความด่างพร้อยให้แก่ชาวมุสลิมด้วยการใช้กฎหมายแบบฆราวาสนิยม
ด้วยการที่เขาส่งเสริมบริษัทเทคโนโลยีและเศรษฐกิจแบบ “อูเบอร์-ไอเซชัน” ซึ่งช่วยให้ผู้คนมีงานทำแบบอิสระมากขึ้น แทนที่จะต้องเป็นลูกจ้าง นั่นยิ่งช่วยให้มาครงมีภาพลักษณ์ของการเป็นคนรุ่นใหม่
“ผมอยากให้พวกเราเริ่มต้นทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น สร้างนวัตกรรมได้ง่ายขึ้น” คือหนึ่งในประโยคที่เป็นมนตราจับใจผู้คนของเขา
นอกจากนี้ มาคร็องคือผู้ที่แหกคอกหักประเพณีทั้งในเรื่องการเมืองและเรื่องชีวิตส่วนตัว
ชายผู้มาจากครอบครัวชนชั้นกลางในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสรายนี้ ได้ตกหลุมรักกับ “บริจิต โทรญเญอซ์” หญิงผู้เคยเป็นครูของเขาสมัยที่เรียนมัธยม ซึ่งเป็นเรื่องที่สื่อแดนน้ำหอมให้ความสนใจกันมาก
“โทรญเญอซ์” ที่เป็นคุณแม่ลูกสาม ทั้งยังแก่กว่า “มาคร็อง” ถึง 25 ปี ได้หย่าร้างกับสามีเก่าของเธอแล้วมาแต่งงานกับอดีตลูกศิษย์ในปี 2007
“ตอนที่เขาอายุ 17 มาคร็องบอกกับฉันว่า ไม่ว่าฉันจะทำอะไร เขาก็จะแต่งงานกับฉัน” โทรญเญอซ์บอกกับนิตยสารปารีส แมตช์ เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว
บางคนมองว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันยากที่จะเชื่อว่ารักกันจริง แม้ว่าจะมีให้เห็นมากมายตามนิตยสารต่างๆ ทำให้เกิดข่าวลือว่าเขาเป็นเกย์ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ทำให้มาคร็องหัวเราะอยู่บ่อยครั้งกับข่าวลือนี้