รอยเตอร์ - รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และเสนาธิการกองทัพบกอัฟกานิสถานได้ยื่นหนังสือลาออกต่อประธานาธิบดีอัชรอฟ ฆอนี ในวันนี้ (24 เม.ย.) หลังจากทหารกว่า 140 นายถูกนักรบตอลิบานบุกสังหารหมู่ในเหตุโจมตีครั้งเลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับฐานทัพอัฟกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
“รัฐมนตรีกลาโหม อับดุลเลาะห์ ฮาบิบี และเสนาธิการกองทัพบก กอดัม ชาห์ ชาฮิม ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่ง โดยมีผลในทันที” ทำเนียบประธานาธิบดีอัฟกันแถลงผ่านทวิตเตอร์
ชาห์ ฮุสเซน มุรตาซาวี รักษาการโฆษกประธานาธิบดีบอกกับรอยเตอร์ว่า การลาออกครั้งนี้เป็นผลมาจากเหตุโจมตีซึ่งเกิดขึ้นที่ฐานทัพสำคัญในเมือง มาซาร์-อี-ชารีฟ ทางภาคเหนือของประเทศ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (21)
นักรบตอลิบาน 10 คนซึ่งแต่งเครื่องแบบทหารและใช้ยานพาหนะของทหารสามารถเล็ดรอดเข้าไปภายในฐานทัพแห่งนี้ ก่อนจะใช้ทั้งอาวุธปืนและระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีทหารที่กำลังรับประทานอาหารเที่ยง หรือกำลังเดินออกจากมัสยิดหลังเสร็จสิ้นพิธีละหมาดวันศุกร์ ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนว่ามาตรการรักษาความมั่นคงของกองทัพล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
เจ้าหน้าที่อัฟกันระบุว่า นักรบตอลิบานกลุ่มนี้ใช้ทั้งจรวดอาร์พีจีและปืนไรเฟิล บางคนได้กดระเบิดเสื้อกั๊กฆ่าตัวตาย และคาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอาจจะเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้
ประธานาธิบดีฆอนีได้ประกาศให้มีการไว้อาลัยทั่วประเทศ และลดธงครึ่งเสาในวันอาทิตย์ (23)
เช้าวันนี้ (24) ผู้ประท้วงกลุ่มเล็กๆ ได้ไปรวมตัวที่หน้าทำเนียบประธานาธิบดีในกรุงคาบูล และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงกลาโหมลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
เหตุโจมตีซึ่งส่งผลให้มีการเปลี่ยนตัวผู้นำกองทัพในครั้งนี้เกิดขึ้น ขณะที่กองทัพอัฟกันกำลังเตรียมรับมือปีหฤโหดที่คาดว่าจะต้องมีการทำสงครามอย่างดุเดือดกับกลุ่มตอลิบาน ซึ่งเวลานี้มีอิทธิพลหรือกำลังช่วงชิงดินแดนมากกว่า 40% ของพื้นที่ทั้งประเทศ
ปัจจุบันยังมีทหารอเมริกันเกือบ 9,000 นายประจำการอยู่ในอัฟกานิสถาน ไม่รวมทหารนานาชาติอีกหลายพันนายที่ปฏิบัติภารกิจภายใต้ธงนาโต
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ระหว่างพิจารณาปรับเปลี่ยนภารกิจของทหารสหรัฐฯ ที่เข้าไปช่วยฝึกซ้อมและให้คำปรึกษาแก่กองทัพคาบูล และเริ่มใช้ปฏิบัติการจู่โจมเพื่อกวาดล้างฐานที่มั่นของกลุ่มติดอาวุธ เช่น ไอเอส
กองทัพเยอรมนีซึ่งมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้คำแนะนำแก่ทหารอัฟกันทางภาคเหนือ แถลงยืนยันหลังเกิดเหตุโจมตีฐานทัพที่เมืองมาซาร์-อี-ชารีฟ ว่า พวกเขายังพร้อมที่จะทำงานร่วมกับชาวอัฟกันต่อไป