xs
xsm
sm
md
lg

InClip : สื่อทั่วโลกรายงาน สุดช็อก!! กทม.สั่งห้ามขายอาหารข้างถนน ต่างชาติบ่นเสียดายโอกาส “นั่งเหงื่อตกกินก๋วยเตี๋ยวบนทางเท้าในกรุงเทพฯ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เอเจนซีส์/MGR ออนไลน์ - เป็นที่ฮือฮาและแตกตื่นไปทั่วโลกเมื่อกรุงเทพฯ เดินหน้าเอาจริง ประกาศจัดระเบียบทางเท้าแบบเบ็ดเสร็จ ประกาศห้ามการขายอาหารและตั้งแผงลอยทุกชนิดบนทางเท้า ต้องการให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่มีความน่าอยู่และสะอาดไม่แพ้สิงคโปร์ แต่เสียงบ่นจากทั่วโลกคิดถึง “ความเป็นเจ้าอาหารข้างถนนของไทย” ที่อาจเหลือแค่ตำนาน นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาไทยเพื่อค้นหาอาหารต้นตำรับในราคาสบายกระเป๋า แถมได้สัมผัสวิถีชีวิตคนไทยแบบใกล้ชิดโดยไม่ต้องเขินอาย สุดอึ้งพบ อดัม สเปซี (Adam Spacey) หนุ่มเอ็กซ์แพตชาวอังกฤษ ประกาศไม่ท้อ จะติดตามร้านอาหารจานโปรดไปหากต้องถูกสั่งย้ายหนี

หนังสือพิมพ์เดลีเทเลกราฟ สื่ออังกฤษ และสื่ออื่นๆ รอบโลกรายงานเมื่อวานนี้ (18 เม.ย.) ว่า กรุงเทพฯ ที่ล่าสุดถูกสื่อ CNN โหวตเป็นเมืองที่มีอาหารข้างถนนที่ดีที่สุดในโลกเป็นปีที่ 2 กำลังจะกลายเป็นอดีตเมื่อกรุงเทพมหานครออกคำสั่งห้าม ไม่ให้มีการตั้งแผงลอย ร้านค้า หาบเร่ และรถเข็นขายอาหารบนทางเท้า โดยคาดว่า ต้องการจะทำให้ทางเท้าใน กทม.ปลอดจากแผงลอย โดยสื่ออังกฤษชี้ว่า ต้มยำกุ้งรสจัดจ้านจากร้านเด็ดชื่อดังข้างถนนใน กทม.อาจจะกลายเป็นอดีตไปในปี 2018 ซึ่ง กทม.มีเป้ามหายจะทำให้การขายอาหารบนฟุตบาทต้องหมดไปภายในสิ้นปีนี้

สื่อจำนวนมากทั่วโลกแตกตื่นในข่าวการจัดระเบียบ เช่น สื่อเว็บไซต์ด้านการกิน eater.com ถึงกับตั้งหัวข้อว่า “WTF : Bangkok Government Bans All Street Food” พร้อมกับระบุเงื่อนเวลาที่สะพรึงกลัวว่า จะไม่มีอาหารข้างถนนในกรุงเทพฯ อีกต่อไปภายในสิ้นปีนี้

เดลีเทเลกราฟเองถึงขั้นประณาม โดยชี้ว่าเป็นเหมือนหายนะ ที่กรุงเทพฯ กำลังแบนอาหารข้างถนนอันลือลั่นของตัวเอง ด้านสื่อไทม์สรายงานว่า “กรุงเทพฯ กำลังจะเคลียร์อาหารออกจากข้างถนน” และสื่อแชนิวส์เอเชียชี้ว่า “กทม.กำลังทำสงครามครูเสดในเรื่องความสะอาดกับแผงค้าอาหารข้างทาง” ในขณะที่ RT สื่อรัสเซียรายงานว่า “เจ็บที่หัวใจ กทม.กำลังแบนอาหารข้างถนน โซเลียลมีเดียฮึ่ม”

โดยสื่อ MGR ผู้จัดการออนไลน์ พบว่า อาหารข้างถนนของไทยได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติทั้งมีการรีวิวบนยูทิวบ์ และรวมไปถึงการเขียนบล็อกแนะนำประสบการณ์ เป็นต้นว่า บล็อกของ melangemix.wordpress.com ได้รายงานถึงประสบการณ์อาหารข้างทางในกรุงเทพฯ โดยผู้เขียนได้ระบุลงไปในบล็อกว่าได้เลือกในการลองลิ้มอาหารในย่านไชน่าทาวน์ พร้อมทั้งถ่ายภาพการผัดแบบพิสดารไฟลุกให้เห็นกับตา

นอกจากนี้ ในเว็บไซต์ 10best.com ของสื่อสหรัฐฯ ยูเอสเอทูเดย์ยังได้จัดลำดับร้านอร่อยที่นักท่องเเที่ยวต่างชาติต้องลองสำหรับอาหารข้างทางในถนนสายเยาวราช

แต่สำหรับนโยบายแบนอาหารข้างถนนของ กทม. เดลีเทเลกราฟพบว่า มีบางความเห็นชี้ว่า กรุงเทพฯพยายามอย่างมากที่จะเอาชนะสิงคโปร์ในเรื่องความสะอาดและความมีระเบียบ

โดยเจ้าหน้าที่ กทม.ได้ประกาศว่า ผู้ค้าอาหารข้างทางไม่สามารถจะทำอาหารบนทางเท้าได้อีกต่อไป และให้เหตุผลในเรื่องสุขอนามัยและกลิ่นที่ส่งออกมารบกวน

ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ พบภาพเจ้าหน้าที่ กทม.ไล่ต้อนพ่อค้าแม่ค้าแผงขายอาหารบนทางเท้า ซึ่งเป็นความพยายามของทาง กทม.ที่จะทำให้รถเข็นอาหารและแผงลอยข้าวแกงเหล่านี้ไปรวมอยู่ในบางจุดของพื้นที่ของกรุงเทพฯ เท่านั้น

แต่ทว่าในปัจจุบันทาง กทม.ยังเดินหน้าไปอีกขั้นด้วยการประกาศห้ามตั้งแผงลอยทุกชนิดบนถนนสายหลัก และข่าวร้ายสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตามมาก็คือ จุดที่ทาง กทม.จะเดินหน้าจัดระเบียบต่อไป เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ ย่านไชน่าทาวน์ หรือเยาวราชชื่อดัง และถนนข้าวสารแหล่งนักท่องเที่ยวแบ็กแพกเกอร์

ด้าน ดร.วัลลภ สุวรรณดี ประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวให้สัมภาษณ์กับ เนชัน หนังสือพิมพ์ไทยภาคภาษาอังกฤษว่า “ในขณะนี้ทางกรุงเทพฯ BMA กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการกำจัดแผงลอยและร้านค้าจากทางเท้าทั่วทั้ง 50 เขตของกรุงเทพฯ และจะคืนพื้นที่ทางเท้ากลับคืนให้แก่ผู้ใช้”

ในการให้สัมภาษณ์ ดร.วัลลภกล่าวต่อว่า “พ่อค้าแผงลอยยึดพื้นที่มานานแล้ว และทางเราได้จัดหาสถานที่ใหม่ให้กับพวกเขาได้ทำการขายอาหารและอื่นๆ อย่างถูกกฎหมายในตลาด”

ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์ไทย โพสต์ทูเดย์ รายงานถึงประธานที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ เมื่อเดือนตุลาคม ปีที่ผ่านมา ว่า ดร.วัลลภ ถือเป็นมือจัดระเบียบทางเท้าของ กทม. และตัวของ ดร.วัลลภเองได้ประกาศโดยมีสโลแกนว่า เสน่ห์กรุงเทพฯต้องไม่สกปรก โดยในขณะนั้นเขาได้ให้ความเห็นว่า ***ถึงเวลาแล้วที่คนกรุงเทพฯต้องยอมรับและทำตามกฎหมาย***

ในความเห็นของมือจัดระเบียบรักษาความสะอาดรายนี้ระบุว่า ปัญหาการใช้ทางเท้าสัญจรเป็นสถานที่ทำธุรกิจส่วนตัวนั้นทำให้เกิดปัญหาหลายประการ อาทิ สร้างความเดือดร้อนและรำคาญให้กับประชาชน มีความเสี่ยงในด้านความปลอดภัยจากมิจฉาชีพและรถที่อาจพุ่งเข้าชน และที่สำคัญคือ มีการค้ากำไรในการเซ้งต่อในระดับตัวเลข 6-7 หลัก

ทั้งนี้ ในรายงานของโพสต์ทูเดย์ ดร.วัลลภยังกล่าวว่า “ปัญหาจากการขายนั้นมีมาก เช่น ผู้ค้าไปเช่าที่เก็บถังหรือรถใส่สินค้าตามพื้นที่ใกล้เคียง ถึงเวลาก็เข็นออกมาขาย ซ้ำเติมปัญหารถติด หรือการตั้งร้านวางสินค้า บางแห่งเว้นที่เหลือให้คนเดินเพียง 60 เซนติเมตร พอคับแคเบียดเสียดก็เป็นช่องให้พวกมิจฉาชีพ ให้พวกมิจฉาชีพ ล้วงกระเป๋าจนเป็นคดีความมากมาย โดยเฉพาะในท้องที่ สน.บางรัก และสน.ปทุมวัน ส่วนประชาชนที่ไม่อยากซื้อของ ไม่อยากเบียดเสียด ก็เลือกลงมาเดินบนถนนเช่นเดียวกับคนที่ยืนรอตามป้ายรถเมล์ พอรอบนทางเท้าไม่สะดวกก็ลงมายืนข้างล่าง”

และกล่าวต่อว่า “ส่วนประชาชนที่ไม่อยากซื้อของ ไม่อยากเบียดเสียด ก็เลือกลงมาเดินบนถนนเช่นเดียวกับคนที่ยืนรอตามป้ายรถเมล์ พอรอบนทางเท้าไม่สะดวกก็ลงมายืนข้างล่าง กลายเป็นความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเข้าไปอีก หนักกว่านั้นพื้นที่อย่างสีลม หรือสุขุมวิทช่วงกลางคืนยังพบว่า มีการค้าขายสินค้าเถื่อนและปรับเปลี่ยนเป็นร้านอาหารริมทาง ขายสุราหรือเหล้าปั่นด้วย เรื่องแบบนี้สังคมต้องรับทราบ”

แต่อย่างไรก็ตาม เดลีเทเลกราฟชี้ว่า นโยบายการจัดระเบียบทางเท้าของกรุงเทพมหานครจะทำให้เสน่ห์ของเมืองแห่งอาหารข้างทางที่หลากหลายและโดดเด่นต้องหมดไป โดยชี้ว่า การได้นั่งรับประทานจากแผงค้าและรถเข็นที่ต่อแถวเรียงรายบนฟุตบาทถือเป็นหนึ่งในวัตนธรรมทางการประกอบอาหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สื่ออังกฤษให้ความเห็นถึงเสน่ห์ที่น่าดึงดูดในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติว่า ไม่เพียงแต่อาหารที่มีราคาถูกแล้ว แต่ยังคงเป็นรสชาติดั้งเดิม และประสบการณ์ในการที่จะได้มีโอกาสสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับบรรดาคนในพื้นที่ อีกทั้งการได้เดินเข้าไปสั่งข้าวแกงหรือก๋วยเตี๋ยวบริเวณข้างทางได้กลายเป็นวัฒนธรรมเวลาค่ำคืนสำหรับเหล่าชาวกรุงเทพฯ ไปเสียแล้ว

โดยสื่อเอบีซีนิวส์ ออสเตรเลีย รายงานเสริมในเรื่องนี้ว่า ร้านอาหารแผงลอยกลายเป็นส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯ ที่มีราคาเฉลี่ยตกอยู่ที่ 1-2 ดอลลาร์ออสเตรเลียเท่านั้น ซึ่งพบว่า มีการศึกษาชิ้นหนึ่งออกมาเปิดเผยว่า มีคนกรุงเทพฯ จำนวนถึง 2 ใน 3 ต้องทานอาหารอย่างน้อย 1 มื้อต่อวันจากข้างถนน

แต่อย่างไรก็ตาม เดลีเทเลกราฟรายงานว่า ดร.วัลลภกล่าวให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับเอเอฟพีว่า “แผงลอยทุกประเภทที่รวมไปถึง การจำหน่าย เสื้อผ้า สินค้าเลียนแบบ และร้านขายอาหารจะต้องหมดไปจากถนนสายหลักด้วยเหตุผลด้านความสะอาดและกลิ่นรบกวน”

แต่การประกาศเปลี่ยนแปลงของ ดร.วัลลภสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้ที่รักในวัฒนธรรมอาหารข้างทางของกรุงเทพฯ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านกรุงเทพฯของเดลีเทเลกราฟ ทอม วาเตอร์(Tom Vater) ให้ความเห็นว่า “นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2014 เป็นต้นมา กรุงเทพฯได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆจากแต่เดิม เคยเป็นศูนย์กลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยุ่งเหยิงแต่สนุก กลับกลายมาอยู่ในแนวทางที่ต้องอยู่ในกฎระเบียบตามอย่างสิงคโปร์”

“และหาบเร่แผงลอยบนทางเท้าเป็นหัวใจในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ พบว่ามีพ่อค้าแม่ค้าไม่ต่ำกว่า 20,000 คน ที่กำลังถูกสั่งให้ต้องออกนอกพื้นที่ค้าขายจากบริเวณพื้นที่สำคัญบนถนนสายหลักในกรุงเทพฯ นั้นถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางอาหารริมถนนของโลก ถือเป็นหนึ่งในอาหารข้างทางที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก” ผู้เชี่ยวชาญของเดลีเทเลกราฟกล่าว

เอบีซีนิวส์ ออสเตรเลียระบุว่า ทั้งนี้เมื่อไม่นานมานี้กรุงเทพฯถูกสื่อ CNN ของสหรัฐฯ จัดให้เป็นเมืองที่มีอาหารข้างถนนที่ดีที่สุดในโลกเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันซึ่งโฆษกรัฐบาลไทยได้ออกมาแถลงในเรื่องนี้ว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รับทราบในเรื่องนี้ และรู้สึกยินดีที่กรุงเทพฯยังคงถูกเลือกเป็นเมืองที่ดีที่สุดในอาหารข้างถนนของโลก

และวาเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกรุงเทพฯ จากเดลีเทเลกราฟกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ปัญหาความสะอาด ความกังวลในการควบคุมและความปลอดภัยนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าตามความเห็นของรัฐบาลทหารไทยที่มาจากการรัฐประหาร ดังนั้นร้านอาหารข้างถนนต้องออกไป”

ในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากสื่ออังกฤษระบุว่า ในจุดของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ได้รับผลกระทบ คนเหล่านั้นไม่ได้รับข้อเสนอในทางเลือกที่เท่าเทียม และอีกทั้งคนรายได้น้อยจำนวนมากหลายแสนคนที่ทำให้กรุงเทพฯขับเคลื่อนไปได้ ตั้งแต่คนทำความสะอาดไปจนถึงคนขับรถแท็กซี ต่อไปจะไม่สามารถซื้ออาหารเพื่อยังชีพในย่านดาวน์ทาวน์ของกรุงเทพฯ

เดลีเทเลกราฟยังรายงานต่อถึงผลกระทบต่อนโยบายการจัดระเบียบของ กทม.อีกว่า เชื่อว่าจะกระทบต่ออุตสาหกรรทการท่องเที่ยว ซึ่งพบว่าถนนข้าวสาร ย่านบางลำพู มีวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกับร้านอาหารแผงลอยและร้านค้าข้างทางมานานแล้ว และกลายเป็นส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ของถนนสายนี้ ที่มีภาพนักท่องเที่ยวต่างชาติสะพายเป้ใบใหญ่แบกท่ามกลางความขวักไขว่และสับสน ที่ถือเป็นสิ่งดึงดูดสำหรับความเป็นถนนข้าวสาร

โดย สง่า เรืองวัฒนกุล (Sanga Ruangwattanaku) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัดดี้ กรุ๊ป ผู้ประกอบการร้านอาหารและโรงแรมย่านถนนข้าวสาร ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจถนนข้าวสาร แสดงความเห็นคัดค้านต่อมาตรการห้ามแผงลอยขายอาหารของ กทม.ว่า “หากว่าทาง กทม.ต่อต้านพ่อค้าแผงลอยทั้งหมดจะเกิดผลกระทบต่อธุรกิจและเสน่ห์ของความเป็นถนนข้าวสาร”

ในขณะที่ชัยวัน สุวรรณภักดิ์ (Chiwan Suwannapak) ทำงานด้านธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศได้กล่าวให้ความเห็นว่า “หากว่าทาง กทม.ต้องการที่จะกวาดพ่อค้าเร่แผงลอยออกไปทั้งหมด มันเหมือนกับว่า กทม.กำลังล้างวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯ ออกไปด้วย”

ตัวอย่างเช่น อนัตชยา ไชยสนาม (Anatchaya Chaisanam) มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ซึ่งกำลังนั่งรับประทานก๋วยเตี๋ยวไก่ให้สัมภาษณ์กับเอบีซีนิวส์ว่า “ผมมากินที่นี่ประจำ ไม่ไปที่อื่น” และกล่าวต่อว่า “แต่หากว่าจะมีแต่ร้านอาหารแพงๆ คนมีอาชีพเช่นผมคงจ่ายไม่ไหว”

ในรายงานของสื่ออสเตรเลียพบว่า กรุงเทพมหานครได้ยื่นหนังสือแจ้งการโยกย้ายให้แก่บรรดาพ่อค้าแม่ค้าในจุดสำคัญต่างๆ โดยพบว่าพื้นที่ค้าขายบริเวณทางเท้าในย่านทองหล่อ เอกมัย และถนนปรีดีพนมยง นั้นจะไม่สามารถตั้งของขายได้อีกต่อไปหลังจากวันที่ 17 เม.ย.ไปแล้ว

โดย บังเอิญ มีบัวเฮง (Bangurn Meebuaheng) แม่ค้าข้าขาหมู ใกล้กับซอย 38 หนึ่งในแม่ค้าขายอาหารที่ได้รับผลกระทบได้กล่าวให้ความเห็นกับเอบีซีนิวส์ ออสเตรเลีย ในขณะที่ตัวของเธอและลูกสาวกำลังเตรียมจัดร้านค้าเพื่อเปิดขายในช่วงค่ำว่า “เราขายอยู่ที่นี่มา 17 ปี แต่เราจำเป็นต้องยอมรับ” และกล่าวต่อว่า “ดิฉันรับช่วงกิจการต่อจากแม่มาเมื่อแม่เลิกทำตอนอายุ 63 ปี”

และให้ความเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงว่า “ก่อนหน้านี้ร้านของเราอยู่ด้านนอก คนทั่วไปเห็นได้ชัด และเราได้ทั้งลูกค้าขาประจำและขาจรที่บังเอิญผ่าน...แต่นับตั้งแต่ต้องย้ายเข้ามาขายด้านใน รายได้ลดลงไปมาก”

เอบีซีนิวส์รายงานว่า ซอย 38 เคยเป็นเมกกะแห่งอาหารที่ทั้งคนกรุงเทพฯ และชาวต่างชาติที่ทำงานในกรุงเทพฯบริเวณย่านทองหล่อได้อาศัย

โดยแม่ค้าบังเอิญกล่าวต่อว่า “แต่ก่อนมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเป็นลูกค้าที่นี่ พวกเขากลับมาอีกครั้งพร้อมกับยื่นรูปภาพเก่าๆ ให้ดู พร้อมกับถามว่ารถเข็นหายไปไหน”

แต่อย่างไรก็ตาม ทางกรุงเทพมหานครปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ในรายละเอียดกับสื่อเอบีซีนิวส์ โดยอ้างว่า ทาง กทม.ไม่สามารถปลีกเวลาในการอธิบายถึงปฏิบัติการขับไล่ผู้ค้าได้ แต่สื่อไทยรายงานว่า ทางกรุงเทพฯ ได้ส่งจดหมายแจ้งการย้ายให้กับบรรดาผู้ประกอบการแผงลอย หาบเร่ และรถเข็นไปแล้วไม่ต่ำกว่า 15,000 ราย

หนึ่งในลูกค้าอาหารรถเข็นแผงลอยชาวต่างชาติ ประกาศที่จะติดตามร้านอาหารเจ้าประจำไปยังที่ตั้งใหม่หากร้านค้าของเขาต้องถูกทาง กทม.ไล่ที่

โดยหนุ่มเอ็กซ์แพตชาวอังกฤษ อดัม สเปซี (Adam Spacey) กล่าวให้ความเห็นกับเอบีซีนิวส์ ออสเตรเลีย ในระหว่างนั่งรับประทานอาหารในร้านแผงลอยที่กำลังจะต้องปิดตัวลงบริเวณย่านทองหล่อว่า “ผมจะตามหาและติดตามร้านอาหารร้านนี้หากถูกย้ายออกไปจริง แต่ผมมองในมุมเชิงธุรกิจของพวกเขา ผมคิดว่าการต้องสูญเสียพื้นที่ตั้งบริเวณซอยทองหล่อไปนั้น จะถือเป็นสิ่งยากลำบากสำหรับพวกเขา”

ในรายงานของสื่อไทย เว็บไซต์สนุกระบุว่า สำหรับในปี 60 นี้ กทม.จัดระเบียบทางเท้าต่อเนื่องในพื้นที่ต่างๆ โดยกำหนดแผนการจัดระเบียบ จะยกเลิกทางเท้าใน 6 เขต ในวันที่ 30 ม.ค.นี้ รวมทั้งสิ้น 6 เขต 21 จุด จำนวนผู้ค้ารวม 1,963 ราย ได้แก่

1. เขตคลองเตย บริเวณถนนพระราม 4 และตลาดลาว รวม 11 จุด มีผู้ค้าทั้งสิ้น 164 ราย

2. เขตบางนา บริเวณหน้าตลาดอุดมสุข 1 จุด มีผู้ค้าทิ้งสิ้น 224 ราย

3. เขตราชเทวี บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และถนนพญาไท บริเวณสะพานหัวช้าง รวม 2 จุด มีผู้ค้าทั้งสิ้น 404 ราย

4.เขตจตุจักร บริเวณถนนกำแพงเพชร 2, 3 และ 4 ซึ่งเป็นผู้ค้าในจุดผ่อนผัน 2 จุด และนอกจุดผ่อนผัน 1 จุด รวมผู้ค้าทั้งสิ้น 394 ราย

5.เขตบางแค บริเวณหน้าตลาดบางแคทั้ง 2 ฝั่ง รวม 2 จุด มีผู้ค้าทั้งสิ้น 659 ราย

6.เขตภาษีเจริญ บริเวณหน้าบ้านพักคนชราบางแค และพื้นที่ฝั่งตรงข้าม รวม 2 จุด มีผู้ค้าทั้งสิ้น 118 ราย


บังเอิญ มีบัวเฮง(Bangurn Meebuaheng) แม่ค้าข้าขาหมู ใกล้กับซอย 38
อดัม สเปซี( Adam Spacey)เอ็กซแพตชาวอังกฤษ
อนัตชยา ไชยสนาม(Anatchaya Chaisanam) มอเตอร์ไซด์รับจ้าง
รายงานประสบการณ์อาหารข้างถนนของบล็อกเกอร์ melangemix.wordpress.com สำหรับอาหารข้างทางในเยาวราช
การรายงานสุดยอดอาหารข้างถนนในเยาวราชของเว็บไซต์ 10best.com สื่อยูเอสเอทูเดย์







กำลังโหลดความคิดเห็น