xs
xsm
sm
md
lg

รมว.ต่างประเทศมะกันไปมอสโก บอกให้รัสเซียเลือกข้าง จะอยู่กับสหรัฐฯ-พันธมิตร หรือร่วมก๊วนอิหร่าน-อัสซาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<i>รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ลงจากเครื่องบินขณะเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติในกรุงมอสโก เมื่อวันอังคาร (11 เม.ย.)  เขาแสดงท่าทีกดดันฝ่ายรัสเซียในเรื่องซีเรีย ซึ่งจะเป็นหัวข้อสำคัญในการเจรจาของเขากับเจ้าหน้าที่แดนหมีขาวคราวนี้ </i>
เอพี/เอเจนซีส์ - รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน เดินทางถึงกรุงมอสโกใวันอังคาร (11 เม.ย.) พร้อมกับคำขาดที่ยื่นต่อรัสเซีย นั่นคือ เลือกอยู่ข้างเดียวกันกับสหรัฐฯและประเทศอื่นๆ ซึ่งมีความคิดเห็นตรงกันในเรื่องซีเรีย หรือไม่ก็หันไปเข้ากับอิหร่าน, กลุ่มฮิซบอลเลาะห์, และบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรียที่กำลังลำบากหนัก

ยังไม่เป็นชัดเจนว่าสหรัฐฯจะลงโทษอะไรต่อรัฐบาลรัสเซีย ซึ่งก็ได้ใช้กำลังแสนยานุภาพทางทหารของตนเข้าช่วยเหลืออัสซาดและพันธมิตรกลุ่มต่างๆ ของเขา จนกระทั่งประสบชัยชนะในสนามรบหลายแห่งอย่างต่อเนื่อง ในการทำสงครามที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลา 6 ปีแล้วกับกลุ่มกบฎชาวซีเรียและพวกหัวรุนแรงสุดโต่งอย่าง “รัฐอิสลาม” (ไอเอส)

ทว่าทางด้านประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้แสดงท่าทีออกมาให้เห็นทันทีทันควันว่าเขาจะไม่ยอมถอย โดยเขากล่าวว่ารัสเซียทราบดีเกี่ยวกับ “การยั่วยุต่างๆ” ที่มีการวางแผนกันเอาไว้ เพื่อจะได้ประณามรัฐบาลซีเรียว่ากำลังใช้อาวุธเคมี เขาบอกว่าก่อนอื่นใดเลยสหประชาชาติควรต้องสอบสวนการโจมตีที่เกิดขึ้นเสียก่อนว่าเป็นอย่างไรกันแน่

“มันทำให้ผมหวนระลึกถึงเหตุการณ์ในปี 2003 เมื่อคณะผู้แทนสหรัฐฯในคณะมนตรีความมั่นคงพยายามสาธิตให้เห็นถึงสิ่งที่พวกเขาบอกว่าเป็นอาวุธเคมีซึ่งค้นพบในอิรัก” ปูตินบอกกับผู้สื่อข่าวในวันอังคาร (11) “พวกเราทั้งหมดต่างก็ได้เห็นกันมาแล้ว” เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เพราะหลังจากสหรัฐฯในยุคประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ยกกองทัพเข้าไปรุกรานและยึดครองอิรัก จากการอ้างสาเหตุว่าซัดดัม ฮุสเซน ครอบครองอาวุธเคมีและอาวุธทำลายร้ายแรงอื่นๆ จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถหาหลักฐานออกมาแสดงยืนยันได้

ทิลเลอร์สันออกเดินทางจากอิตาลีไปมอสโก โดยมีกำหนดพบหารือกับพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัสเซียในเรื่องสงครามกลางเมืองซีเรีย ทั้งนี้นับเป็นการเดินทางเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการครั้งแรกของสมาชิกจากคณะรัฐมนตรีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงแม้ฝ่ายรัสเซียแสดงท่าทีว่าปูตินจะไม่ยอมให้ทิลเลอร์สันเข้าพบ ทว่าฝ่ายสหรัฐฯเองยังคงบอกเพียงว่ายังไม่ชัดเจนว่าทิลเลอร์สันจะได้พบกับปูตินหรือเปล่า

ก่อนหน้าเดินทางไปรัสเซีย ทิลเลอร์สันบอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า มอสโกบกพร่องล้มเหลวที่ไม่ได้ดำเนินการตามคำมั่นสัญญาของตนอย่างจริงจังในการกำจัดอาวุธเคมีให้หมดจากซีเรีย หรือไม่อย่างนั้นก็ขาดไร้ความสามารถที่จะกระทำเรื่องนี้ พร้อมกับกล่าวเหน็บแนมว่า ถึงอย่างไร ความแตกต่างระหว่างการไม่เอาจริงเอาจังกับการขาดไร้ความสามารถ “ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรมากสำหรับคนที่เสียชีวิตไป (เพราะก๊าซพิษ)”

ทริปเดินทางของเขาเที่ยวนี้ มีขึ้นหลังจากเมื่อวันจันทร์ (10) มีเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯผู้หนึ่งกล่าวว่า วอชิงตันมีข้อสรุปแล้วว่ารัสเซียรู้เห็นล่วงหน้าเรื่องการโจมตีด้วยอาวุธเคมีของซีเรีย เจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งไม่ได้รับมอบอำนาจให้พูดในที่สาธารณะเกี่ยวกับข้อมูลที่มาจากข่าวกรอง และขอให้ผู้สื่อข่าวสงวนนามผู้นี้ ไม่ได้ให้ข้อพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมอะไร ขณะที่บุคคลอื่นๆ ในคณะบริหารทรัมป์ก็แสดงท่าทีระมัดระวัง ไม่ระบุเด็ดขาดชัดเจนลงไปว่ารัสเซียทราบเรื่องการโจมตีนี้อยู่ก่อนแล้วหรือไม่

ทิลเลอร์สันกล่าวย้ำในวันอังคาร (11) ที่เมืองลุกกา ประเทศอิตาลี ภายหลังการประชุมกับพวกประเทศที่มีความคิดเห็นในทางเดียวกัน โดยเป็นการหารือข้างเคียงการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่ม 7 ชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี7) ว่า “เราไม่สามารถปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมาอีก” และ “เราต้องการบรรเทาความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนชาวซีเรีย รัสเซียสามารถที่จะเป็นส่วนหนึ่งของอนาคตเช่นนั้นได้ และแสดงบทบาทอันสำคัญได้” เขาบอกและกล่าวต่อไปว่า “หรือไม่เช่นนั้นรัสเซียก็สามารถที่จะธำรงรักษาความเป็นพันธมิตรของตน” ที่มีอยู่กับซีเรียและอิหร่าน

ทางกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียนั้น ได้ออกคำแถลงพูดถึงการมาเยือนของทิลเลอร์สัน โดยแสดงความหวังว่าจะมี “การพูดจาอย่างบังเกิดผล” พร้อมกับบอกว่าผลของการเจรจาคราวนี้มีความสำคัญไม่เฉพาะสำหรับความสัมพันธ์สหรัฐฯ-รัสเซียเท่านั้น หากแต่ “สำหรับบรรยากาศโดยรวมบนเวทีโลกอีกด้วย”
<i>ก่อนหน้าเดินทางมามอสโก รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน (ที่ 3 จากซ้าย) เข้าร่วมการประชุมของกลุ่ม 7 ชาติอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี7) ที่เมืองลุกกา แคว้นทัสกานี ประเทศอิตาลี  และได้ถ่ายภาพหมู่กับรัฐมนตรีต่างประเทศคนอื่นๆ ของ จี7 ในวันจันทร์ (10 เม.ย.) </i>
การกล่าวหาตอบโต้กันไปมาคราวนี้ อันที่จริงก็เป็นการเดินตามแบบแผนที่เคยเกิดขึ้นมานานแล้วในเรื่องสงครามกลางเมืองซีเรีย โดยในยุคของประธานาธิบดีบารัค โอบามานั้น สหรัฐฯกล่าวหารัสเซียว่าสนับสนุนอัสซาดในการก่ออาชญากรรมสงครามต่อพลเรือน รวมทั้งทำการรณรงค์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเท็จอย่างซับซ้อนเพื่อพิทักษ์ปกป้องพันธมิตรของตน ขณะที่อัสซาดกับรัสเซียก็กล่าวหาสหรัฐฯว่ากำลังสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มต่างๆ ซึ่งกระทำเรื่องป่าเถื่อนโหดร้ายทั้งหลาย โดยมุ่งหวังให้ได้รับความเห็นอกเห็นใจสนับสนุนจากนานาชาติ

อย่างไรก็ตาม เวลานี้มีจุดสำคัญประการหนึ่งที่แตกต่างออกไป กล่าวคือหลังจากสหรัฐฯยิงจรวดร่อน “โทมาฮอว์ก” 59 ลูกเข้าใส่ฐานทัพอากาศซีเรียแห่งหนึ่งเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ตอนนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ก็สามารถใช้ท่าทีข่มขู่ได้อย่างหนักแน่นน่าเชื่อถือขึ้นอีกมากว่า สหรัฐฯจะหันไปใช้กำลังแก้ปัญหาในซีเรียหากภาวะชะงักงันยังคงดำเนินต่อไป

กระนั้น คณะบริหารทรัมป์ก็ยังคงส่งข้อความต่างๆ ที่ชวนสับสน ในประเด็นที่ว่าต้องการบีบคั้นให้อัสซาดยอมสละอำนาจหรือไม่ และหากจะกดดันให้อัสซาดลงจากเวทีแล้วจะให้กระทำเมื่อใด ตัวทิลเลอร์สันเองนั้นกล่าวว่า เป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐฯมองว่าอัสซาดไม่มีอนาคตในซีเรียอีกแล้ว เนื่องจากเขาสูญเสียความชอบธรรมไปแล้ว

“เป็นที่ปรากฏชัดเจนแก่พวกเราทั้งหมดแล้วว่าการกุมบังเหียนของตระกูลอัสซาดนั้นกำลังจะจบสิ้นลงแล้ว” เขากล่าว “ทว่าคำถามที่ว่าจะจบสิ้นลงอย่างไร และตัวกระบวนการเปลี่ยนผ่านเองนั้น สามารถที่จะกลายเป็นเรื่องสำคัญมากในมุมมองของเราต่อความคงทน, ความมีเสถียรภาพภายในซีเรียที่รวมตัวกันเป็นเอกภาพขึ้นมาแล้ว”

แต่ทิศทางอนาคตของอัสซาดเช่นนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ฝ่ายรัสเซียเห็นด้วย โดยมอสโกยืนยันว่าคณะผู้นำที่ขึ้นปกครองซีเรียจะเป็นใครนั้น ไม่ใช่สิ่งที่มหาอำนาจภายนอกจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว

ทิลเลอร์สันกล่าวว่า การเจรจาหยุดยิงระหว่างฝ่ายต่างๆ ในซีเรียซึ่งมีรัสเซียเป็นผู้อุปถัมภ์นั้น สามารถที่จะสร้างโมเมนตัมเพื่อไปสู่การเจรจาที่กว้างขวางขึ้นอีกในเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ถ้าหากว่าก่อให้เกิดการหยุดยิงที่ถาวรขึ้นมาได้ แต่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯระบุว่าเวลานี้เรื่องการเจรจาหยุดยิงยังไม่มีความคืบหน้าอะไร

กำลังโหลดความคิดเห็น