รอยเตอร์ - ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เรียกร้องวานนี้ (7 เม.ย.) ให้ผู้นำจีนร่วมมือในการแก้ไขปัญหาสหรัฐฯ ขาดดุลการค้า และยังขอให้ปักกิ่งช่วยใช้อิทธิพลกดดันโสมแดงให้ระงับโครงการนิวเคลียร์
ทรัมป์ ซึ่งทิ้งมาดเศรษฐีปากร้ายผู้เคยวิพากษ์วิจารณ์จีนอย่างเผ็ดร้อน และหันมาใช้ “มธุรสวาจา” กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ในการพบกันครั้งแรก ยืนยันว่าการพูดคุยระหว่างเขา และ สี ทำให้หลายๆ ประเด็น “คืบหน้า” ไปมาก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดที่ชัดเจน นอกไปจากว่าจีนตกลงที่จะทำงานร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อลดความขัดแย้ง และแสวงหาจุดร่วมเพื่อนำไปสู่ความร่วมมือที่ดีในอนาคต
การประชุมซัมมิตระหว่าง ทรัมป์ และ สี จิ้นผิง ที่รีสอร์ต มาร์-อา-ลาโก ในรัฐฟลอริดาได้รูดม่านปิดฉากลงแล้วเมื่อวานนี้ (7) ท่ามกลางกระแสข่าวสหรัฐฯ ยิงขีปนาวุธถล่มฐานทัพซีเรียที่สร้างความตกตะลึงไปทั้งโลก
บรรดาผู้ช่วยของ ทรัมป์ ยืนยันว่า เขาได้หยิบยกเรื่องพฤติกรรมการค้าของจีนมาหารือกับ สี จิ้นผิง และ สี เห็นด้วยกับแผนเปิดเจรจา 100 วัน เพื่อหามาตรการช่วยเหลือภาคการส่งออกของสหรัฐฯ และลดยอดขาดดุลการค้ากับจีนลง
เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุด้วยว่า ผู้นำจีนตกลงที่จะร่วมมือกับสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้นเพื่อยับยั้งโครงการพัฒนาขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ แต่ก็ไม่ได้ให้สูตรสำเร็จที่จะช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก้าวร้าวของเปียงยาง
ทรัมป์ เคยให้สัญญาไว้ขณะหาเสียงเมื่อปีที่แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้จีน “ขโมย” ตำแหน่งงานของชาวอเมริกันไปได้อีก ซึ่งประเด็นนี้เองที่ทำให้แรงงานในสหรัฐฯ พากันเทคะแนนสนับสนุนเขาในวันเลือกตั้ง 8 พ.ย. และ ทรัมป์ ก็กำลังถูกกดดันให้ต้องปฏิบัติตามสัญญาข้อนี้
ทรัมป์ ทวีตข้อความเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า สหรัฐอเมริกาอดทนกับปัญหาขาดดุลการค้าและการสูญเสียตำแหน่งงานต่อไปไม่ได้อีกแล้ว และการพบปะกับ สี จิ้นผิง จะเป็นการเจรจาที่ “ยากลำบาก”
ทว่า เมื่อวานนี้ (7) ทรัมป์ ไม่เพียงปรับถ้อยคำให้นุ่มนวลลงเท่านั้น แต่ยังหลีกเลี่ยงการกระทำทุกอย่างซึ่งเจ้าหน้าที่จีนเคยหวั่นเกรงว่าจะทำให้ผู้นำของพวกเขาต้องเสียหน้า
“ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับจีนก้าวหน้าไปอย่างมาก” ทรัมป์ บอกกับสื่อมวลชนขณะที่ผู้แทนทั้ง 2 ฝ่ายนั่งประชุมร่วมกัน
“จะมีความคืบหน้ายิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต ผมเชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ผมและประธานาธิบดี สี ได้สร้างขึ้นนั้นมีความโดดเด่น... และเชื่อว่าปัญหาเลวร้ายทั้งหลายจะถูกขจัดไปได้”
ถ้อยแถลงของผู้นำจีนก็เป็นไปในเชิงบวกเสียส่วนใหญ่
“การพูดคุยครั้งนี้ทำให้เรามีความเข้าใจกันมากยิ่งขึ้น และสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน... ผมเชื่อว่า เราจะสามารถพัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์ฉันมิตร เพื่อสันติภาพและเสถียรภาพของโลก และเราจะปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีมาในประวัติศาสตร์” สี ระบุ
ทรัมป์ กล่าวตอบ สี ว่า “ผมเห็นด้วยกับคุณ 100 เปอร์เซ็นต์”
ทิลเลอร์สัน ให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า ทรัมป์ ได้ตอบรับคำเชิญของ สี ในการไปเยือนกรุงปักกิ่ง และทั้ง 2 ฝ่ายยังตกลงที่จะยกระดับการเจรจาด้วยการให้ประธานาธิบดีทั้งสองเป็นประธานในการประชุม
วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุด้วยว่า จีนมีท่าทีสนใจที่จะลดการได้ดุลการค้ากับต่างประเทศเพื่อเป็นช่องทางควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ “และนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ยินพวกเขาพูดถึงประเด็นนี้ในการเจรจาทวิภาคี”
อย่างไรก็ตาม รอสส์ ปฏิเสธที่จะเอ่ยถึงเรื่องที่สหรัฐฯ มีแผนประกาศให้จีนเป็นชาติที่ “ปั่นค่าเงิน” (currency manipulator)
ทรัมป์ เคยประกาศขณะหาเสียงว่าจะตราหน้าจีนเป็นชาติที่ปั่นค่าเงินตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ได้ทำ
บรรยากาศการประชุมซัมมิต ระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีน ถูกจับตามองมากยิ่งขึ้น เมื่อ ทรัมป์ ได้สั่งให้เรือพิฆาตสหรัฐฯ ยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์กถล่มฐานทัพอากาศแห่งหนึ่งในซีเรียที่เขาเชื่อว่าถูกใช้เป็นฐานส่งอาวุธเคมีไปโจมตีพลเรือนเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ ใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีรัฐบาล บาชาร์ อัล-อัสซาด โดยตรง นับตั้งแต่สงครามกลางเมืองซีเรียปะทุขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อน
ปฏิบัติการสายฟ้าแลบครั้งนี้ ถูกตีความว่าเป็นการส่งสัญญานเตือนไปยังเกาหลีเหนือ หรือแม้กระทั่งจีน อิหร่าน และรัสเซีย ว่า ทรัมป์ นั้น พร้อมที่จะใช้แสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่าของอเมริกาเข้าจัดการปัญหา หากถึงคราวจำเป็นจริงๆ
เป็นที่ทราบกันดีว่า เกาหลีเหนือกำลังมุ่งมั่นพัฒนาขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปที่สามารถส่งหัวรบนิวเคลียร์ไปโจมตีแผ่นดินสหรัฐฯ
ทิลเลอร์สัน ระบุว่า ทรัมป์ และ สี เห็นพ้องต้องกันว่าเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของโสมแดงก้าวหน้าไปถึงขั้น “เป็นภัยคุกคามร้ายแรง”