เอเจนซีส์ /MGR ออนไลน์ - เมื่อวานนี้ (4 เม.ย.) เมืองเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี ที่มีพลเมือง 67.4% เป็นคนผิวสี แต่มีตำรวจผิวขาวทำหน้าที่ถึง 50 นายต่อตำรวจผิวดำ 3 นาย ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของเมืองครั้งแรกหลังเกิดเหตุจลาจลตำรวจผิวขาวยิงผิวสีวัย 25 ปีมือเปล่าดับ ไม่เลือกผู้สมัครแอฟริกันอเมริกันเป็นผู้นำผิวสีคนแรกของเมืองในรอบ 122 ปี
NBC NEWS รายงานเมื่อวานนี้ (4 เม.ย.) ว่า ศึกเลือกตั้งซูเปอร์ทิวส์เดย์ประจำเมืองเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี ที่มีอายุเก่แก่ร่วมกว่าร้อยปี พบว่ารักษาการนายกเทศมนตรีเมืองคนปัจจุบัน เจมส์ โนว์เลซ ที่ 3 (James Knowles III) วัย 37 ปี อเมริกันผิวขาว สามารถเอาชนะคู่แข่ง เอลลา โจนซ์ (Ella Jones) สมาชิกสภาเมืองเฟอร์กูสัน แอฟริกันอเมริกัน วัย 62 ปี ด้วยคะแนน 56% ต่อ 44% ในทั้งหมด 13 เขตของเมือง
สื่อเซนต์หลุยส์ โพสต์ ดิสแพตช์ (St.Louis Post-Dispatch) รายงานว่า มีผู้ออกไปใช้สิทธิลงคะแนน 3,356 คน เพิ่มขึ้นถึง 50%
และในรายงานของสื่อเซนต์หลุยส์ยังชี้ต่อว่า โนว์เลซ ที่ 3 ซึ่งมีหน้าที่คุมสำนักงานออกใบอนุญาตเฟอร์กูสัน (license fee license fee office) พบว่าเขาได้รับการไว้วางใจจากฐานเสียงประชาชนเมืองเฟอร์กูสันที่เชื่อมาตลอดว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ จ้องจับผิดเมืองหลังเกิดเหตุจลาจลไมค์ บราวน์
ในขณะที่หากโจนส์ อดีตผู้อำนวยการจำหน่ายเครื่องสำอาง แมรี เคย์ (Mary Kay) และผันตัวมาเป็นสมาชิกสภาเมืองเฟอร์กูสันในปี 2015 สามารถพลิกเอาชนะการเลือกตั้งเมื่อวาน (4 เม.ย.) สำเร็จ เธอจะกลายเป็นนายกเทศมนตรีผิวสีคนแรกของเมืองเฟอร์กูสันในรอบ 122 ปี
สื่อเซนต์หลุยส์ชี้ต่อว่า โจนส์นั้นถูกพบว่าได้รับการสนับสนุนอย่างลังเลจากกลุ่มนักเคลื่อนไหวต่อสู้สิทธิผิวสีในพื้นที่ ทั้งนี้ เธอทำงานอยู่เบื้องหลังความสำเร็จเมืองเฟอร์กูสันสามารถบรรลุข้อตกลงคำตัดสินตามความยินยอมร่วมกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา แต่ทว่าผลงานที่ผ่านมายังไม่ช่วยให้เธอสามาระเอาชนะได้
NBC NEWS รายงานว่า การเลือกตั้งในวันอังคาร (4 เม.ย.) นั้นเป็นโอกาสแรกของประชาชนเมืองเฟอร์กูสัน ที่จะสามารถเปลี่ยนตัวผู้นำคนใหม่ได้ หลังจากเหตุจลาจลที่ลุกลามบานปลายในปี 2014 เกิดขึ้นหลังตำรวจผิวขาวของเมืองยิงไมค์ บราวน์ ชาวเมืองผิวสีวัย 25 ปีในขณะที่เขาชูมือเปล่า
เมืองเฟอร์กูสันแห่งนี้ จากการรายงานของแอนเดรีย มิตเชลส์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส ทีวีเน็ตเวิร์กอเมริกา MSNBC ในปี 2014 ระบุว่า เมืองเฟอร์กูสันมีพลเมืองแอฟริกันอเมริกันถึง 67.4% แต่กลับมีตำรวจผิวขาวถึง 50 นาย ต่อตำรวจผิวสี 3 นายเท่านั้น
แต่ในการหาเสียงของโนว์เลซ ที่ 3 รักษาการนายกเทศมนตรีเฟอร์กูสัน ที่มีอำนาจน้อยกว่าผู้จัดการเมือง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตำแหน่งระดับสูงในเมืองแห่งนี้ ออกมาให้คำสัญญาว่า เขาจะยังคงเดินหน้าปฏิรูปเมืองเฟอร์กูสันต่อไป หลังจากที่มีรายงานกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ในสมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ออกมาเปิดเผยว่า ระบบตำรวจเมืองเฟอร์กูสันรวมไปถึงระบบศาลของเมือง กีดกันพลเมืองผิวสีที่ยากจนของเมืองแห่งนี้ในรัฐมิสซูรี เขตมิดเวสต์ของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ สื่อสหรัฐฯ ชี้ว่า เมืองเฟอร์กูสันบรรลุข้อตกลงคำตัดสินตามความยินยอม (consent decree) กับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ในความร่วมมือทำการปรับปรุงระบบตำรวจของเมือง เช่นเดียวกันกับเมืองบัลติมอร์ ที่เกิดจลาจลจากคดีเฟรดดี เกรย์
แต่ทว่าค่ำวันจันทร์ (3 เม.ย.) กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ขอผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในการขอยืดเวลาออกไปเพื่อตรวจสอบ อ้างมีการเปลี่ยนทางนโยบายจากรัฐมนตรียุติธรรมคนใหม่ เจฟ เซสชันส์
โดยผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองเฟอร์กูสันทั้งสอง ต่างออกมาชี้ตรงกันว่า การเลื่อนออกไป จะยิ่งเป็นผลเสียต่อความพยายามที่จะสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนในพื้นที่ต่อระบบตำรวจของเมือง
และเป็นเสียงเดียวกันที่ออกมาจากนายกเทศมนตรีผิวสีเมืองบัลติมอร์ แคเธอรีน พิวจ์ (Catherine Pugh) ที่แสดงความแปลกใจในคำสั่งกระทรวงยุติธรรม
อย่างไรก็ตาม การกลับเข้าสู่ตำแหน่งอีกครั้งของนายกเทศมนตรีผิวขาวแห่งเฟอร์กูสัน ที่จะมีสมัยการดำรงตำแหน่งนานออกไปอีก 3 ปี สร้างความกังวลให้แก่บรรดานักเคลื่อนไหวความเท่าเทียมทางสีผิว ที่ต่างออกมาชี้ว่า หากโนว์เลซ ที่ 3 ยังคงดำรงตำแหน่งเช่นเดิม พวกเขาไม่คาดหวังต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในเมืองนี้
อย่างไรก็ตาม รักษาการนายกเทศมนตรีเฟอร์กูสันอ้างว่า ประสบการณ์ที่ผ่านมาจะทำให้แผนการปฎิรูปเมืองของเขาประสบความสำเร็จ อีกทั้งผู้ลงคะแนนประชาชนชาวเฟอร์กูสันต่างอนุมัติในมาตรการเบื้องต้นที่บังคับให้ตำรวจต้องสวมบอดี้แคม กล้องติดตัวตลอดเวลาในขณะปฎิบัติหน้าที่เพื่อบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้เป็นหลักฐาน รวมไปถึงยังกำหนดให้เมืองเฟอร์กูสันต้องเก็บหลักฐานวิดีโอที่ถูกถ่ายไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปีก่อนถูกทำลาย
NBC NEWS ชี้ว่า นับตั้งแต่หลังการเสียชีวิตของบราวน์ ตำรวจเมืองเฟอร์กูสันสวมกล้องติดตัวในระหว่างทำหน้าที่ แต่นักวิจารณ์กลับชี้ว่า เจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่สวมตลอดเวลา