(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Rocket replaces putter
By Peter J. Brown
08/03/2017
กลุ่มลอตเต้กรุ๊ปเจอฤทธิ์เดชแห่งความไม่พอใจของจีน หลังจากยินยอมขายที่ดินในเกาหลีใต้ เพื่อให้ใช้เป็นสถานที่ติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ “ทาด” ของสหรัฐฯ ทั้งนี้เพราะปักกิ่งวิตกว่าเรดาร์ของระบบนี้จะถูกใช้สอดแนมสืบความลับในแดนมังกร ขณะเดียวกันการที่วอชิงตันต้องการเร่งให้ติดตั้งระบบนี้ในแดนโสมขาว เหตุผลสำคัญประการหนึ่งอยู่ที่ความไม่มั่นใจว่าระบบป้องกันติดตั้งบนภาคพื้นดินที่มุ่งสกัดขีปนาวุธในระยะมิดคอร์ส หรือ GMD ที่ประจำการอยู่ในรัฐอะแลสกา จะสามารถสกัดขีปนาวุธโสมแดงไม่ให้เข้ามายังดินแดนสหรัฐฯได้อย่างอยู่หมัด
ลอตเต้กรุ๊ป (Lotte Group) กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ แถลงว่า เว็บไซต์ของตนในประเทศจีนถูกแฮ็กเมื่อวันที่ 1 มีนาคม และอีกไม่กี่วันต่อมาห้างร้านของตนจำนวนมากในแดนมังกรก็ถูกบังคับให้ปิดร้านเพื่อให้พวกเจ้าหน้าที่เข้า “ตรวจสอบ” นับเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องซึ่งบ่งบอกให้เห็นว่าปักกิ่งกำลังสำแดงฤทธิ์เดชอย่างไม่ธรรมดา
จุดสำคัญของเรื่องนี้อยู่ตรงที่ว่า จีนไม่พอใจที่เครือข่ายธุรกิจลอตเต้ยอมขายสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ให้แก่ฝ่ายทหารโสมขาว แน่นอนทีเดียว ปักกิ่งไม่ได้กังวลอะไรต่อการที่สนามกอล์ฟ 18 หลุมแห่งนี้ต้องถูกรื้อทิ้งไปหรอก ทว่ารู้สึกวิตกกับสิ่งที่จะถูกนำเข้ามาแทนที่พวกบังเกอร์และกรีนเหล่านี้ต่างหาก นั่นคือ ระบบป้องกันขีปนาวุธ [1] ของสหรัฐฯซึ่งมีเรดาร์อันทรงพลังเพียงพอที่จะมองฝ่าเข้าไปในจีนและบางทีกระทั่งสามารถแอบสอดแนมสืบความลับในแดนมังกรได้ด้วยซ้ำ
เกาหลีใต้กับสหรัฐฯผู้เป็นพันธมิตรของโสมขาว สามารถยกเหตุผลโต้แย้งได้ว่ามีความจำเป็นที่จะต้องนำเอาระบบป้องกันที่มุ่งยิงสกัดขีปนาวุธใน “ระยะเทอร์มินัล” บริเวณพิกัดตำแหน่งสูง หรือ “ทาด” (Terminal High Altitude Area Defense หรือ THAAD) เข้าไปประจำการ ข้อพิสูจน์ล่าสุดของเรื่องนี้ก็คือการที่เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ 4 ลูกรวดไปในทิศทางมุ่งสู่ญี่ปุ่นเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้
การส่งเสียงคุกคามคำรามและอะไรมากกว่านั้นอีกของเปียงยาง ย่อมเกิดขึ้นเป็นกิจวัตรอยู่แล้วเมื่อใดก็ตามที่กองทัพสหรัฐฯกับกอง ทัพเกาหลีใต้จัดการซ้อมรบร่วมขึ้นมาในช่วงเวลาประมาณนี้ของแต่ละปี กระนั้นการขายที่ดินของกลุ่มลอตเต้ก็ถือว่าเป็นการเปิดแนวรบแห่งความขัดแย้งขึ้นมาอีกแนวหนึ่ง ภายในภูมิภาคแถบนี้ของเอเชียที่คุกรุ่นด้วยความขัดแย้งอยู่แล้ว เมื่อจีนถือเอาบริษัทภาคเอกชนมาเป็นเป้าหมายแสดงความไม่ชอบใจของตน อีกทั้งแสดงให้เห็นว่าการโจมตีทางไซเบอร์เป็นอาวุธประเภทหนึ่งซึ่งพร้อมใช้งานอยู่ในคลังแสงแดนมังกร
ในอีกแง่มุมหนึ่ง กรณีการยิงขีปนาวุธล่าสุดของเกาหลีเหนือยังเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า อิทธิพลระดับพอประมาณของจีนซึ่งมีต่อพวกกระหายการเผชิญหน้าในเปียงยางนั้น มีขอบเขตความจำกัดอย่างชัดเจน
สหรัฐฯไม่ได้แสดงท่าทียอมอ่อนข้อ และการนำเอาระบบ ทาด เข้าไปติดตั้งประจำการตามแผนการที่กำหนดไว้ก็กำลังเดินหน้า ด้วยแรงขับดันจากการที่เกาหลีเหนือปฏิเสธไม่ยอมระงับโครงการพัฒนาขีปนาวุธนำวิถีของตน
ภูมิหลังเบื้องลึก
ภาพใหญ่เบื้องลึกลงไปที่เป็นภูมิหลังซึ่งทำให้สหรัฐฯเร่งรัดนำเอาระบบ ทาด เข้าไปประจำการในเกาหลีใต้ ก็คือ การที่สหรัฐฯกำลังแสดงความไม่มั่นใจเกี่ยวกับสมรรถภาพและความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ของระบบป้องกันขีปนาวุธอันทรงความสำคัญระบบหนึ่งของตน นั่นคือ ระบบป้องกันติดตั้งบนภาคพื้นดินที่มุ่งสกัดขีปนาวุธในระยะมิดคอร์ส (Ground-based Midcourse Defense หรือ GMD) ซึ่งได้รับมอบภารกิจในการคุ้มครองป้องกันสหรัฐฯจากการถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธนำวิถี โดยใช้จรวดสกัดกั้นที่ติดตั้งประจำการอยู่ตรงชายฝั่งตะวันตก (West Coast) ของสหรัฐฯ และมลรัฐอะแลสกา ยิงขึ้นไปทำลายในขณะที่ขีปนาวุธซึ่งข้าศึกยิงเข้ามากำลังอยู่ในช่วงวงโคจรระยะ midcourse
ในรายงานผลการประเมินโดยรวมของผู้อำนวยการการทดสอบและการประเมินผลทางการปฏิบัติการ แห่งกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (Pentagon’s Director of Operational Test and Evaluation’s overall assessment report) ฉบับที่นำออกเผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้ ได้แสดงความเห็นทางลบอย่างแรงเกี่ยวกับสถานะความพร้อมใช้งานของระบบ GMD (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.dote.osd.mil/pub/reports/FY2016/pdf/bmds/2016gmd.pdf)
“GMD สาธิตให้เห็นว่ามีสมรรถนะอันจำกัดในการพิทักษ์ปกป้องมาตุภูมิสหรัฐฯ จากภัยคุกคามด้วยขีปนาวุธนำวิถีข้ามทวีป (intercontinental ballistic missile) หรือ ด้วยขีปนาวุธพิสัยกลาง (intermediate-range ballistic missile) ธรรมดาๆ จำนวนน้อยจำนวนหนึ่ง ซึ่งยิงมาจากเกาหลีเหนือหรืออิหร่าน” รายงานฉบับนี้ระบุในตอนหนึ่ง
ขณะเดียวกัน รายงานของผู้อำนวยการการทดสอบและการประเมินผลทางการปฏิบัติการ ยังชี้ว่า “แทบไม่มีการประเมินด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วยการประเมินที่อัปเดตทันสมัยกันเลย” ดังนั้นจึงเสนอแนะว่า “ควรต้องมีการเน้นย้ำเพิ่มมากขึ้นในเรื่องการทดสอบความสามารถที่จะอยู่รอดได้ของ GMD รวมทั้งด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์”
สิ่งที่มองเห็นกันว่าเป็นจุดอ่อนของ GMD นี้ เมื่อบวกเข้ากับข้อเท็จจริงที่ว่าในความพยายามทั้งหลายทั้งปวงที่จะพัฒนาระบบอาวุธซึ่งสามารถยิงสกัดกั้นขีปนาวุธข้าศึกหลังจากที่มันผ่านระยะการยิงขึ้น (boost phase) ไปแล้วและกำลังเคลื่อนที่เข้ามานั้น มีคำถามต่างๆ เกิดขึ้นมานานและก็ยังหาคำตอบที่น่าพึงพอใจไม่ค่อยได้ เหล่านี้แหละเป็นเหตุผลที่ทำไมพวกนักวางแผนของเพนตากอนจึงต้องสนใจเอนเอียงไปพิจารณาจรวดสกัดกั้นขีปนาวุธที่มีผลิตติดตั้งใช้กันอยู่ในเวลานี้ประเภทอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นประเภทติดตั้งในทะเลหรือบนภาคพื้นดินก็ตามที
ตรงนี้เองที่ทำให้มีการเร่งรัดให้ติดตั้งประจำการระบบ ทาด ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม และในกรณีนี้ยังเป็นการติดตั้งให้อยู่ในระยะประชิดติดใกล้เกาหลีเหนือให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตลอดจนมีการติดตั้งจรวดสกัดกั้นบนเรือรบผิวน้ำหลายๆ ลำของกองทัพเรืออเมริกันอีกด้วย
การยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือในคราวนี้และคราวต่อๆ ไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นชนวนทำให้เกิดการอภิปรายถกเถียงกันอย่างดุเดือดมากขึ้นไปอีก และนี่ก็จะไม่ทำให้อะไรๆ ง่ายดายขึ้นเลยสำหรับจีน ซึ่งอันที่จริงก็อยู่ในช่วงเวลาอันยากลำบากมากพออยู่แล้ว ในความพยายามที่จะปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนทางนโยบายกลาโหมและทางยุทธศาสตร์กลาโหมซึ่งกำลังปรากฏออกมาให้เห็น โดยที่คณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ก็มุ่งมุ่นตั้งใจที่จะไล่ตามเกาะติดจุดอ่อนเหล่านี้อย่างเหนียวแน่น
เรือพิฆาตชั้น “ซุมวอลต์”
คณะบริหารของทรัมป์ ประกอบด้วยนายพลอเมริกันหลายต่อหลายคน เป็นต้นว่า เจมส์ แมตทิส (James Mattis) รัฐมนตรีกลาโหม, จอห์น เคลลี (John Kelly) รัฐมนตรีความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ, เอช.อาร์.แมคมาสเตอร์ (H.R. McMaster) ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ และเห็นได้ชัดว่าปักกิ่งรู้สึกปวดหัวมึนตึ๊บกับสัญญาณที่ดูไม่แน่ไม่นอนซึ่งแดนมังกรกำลังได้รับจากทรัมป์และจากบรรดาผู้ช่วยของเขาซึ่งเป็นบุคลากรจากกองทัพเหล่านี้ ในเมื่อสัญญาณของแต่ละฝ่ายดูเหมือนกับใช้คลื่นความถี่ที่แตกต่างกันทั้งๆ ที่เป็นเรื่องประเด็นปัญหาทางนโยบายอันสำคัญ โดยความแตกต่างดังกล่าวปรากฏให้เห็นมากกว่า 1 ครั้งด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์ยังไม่มีการกระมิดกระเมี้ยนและพร้อมที่จะโอ่อวดเบ่งกล้ามแสดงแสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐฯอย่างเต็มที่ ซึ่งเรื่องนี้ก็จะเพิ่มความกังวลและความไม่สบายใจให้จีนเช่นเดียวกัน
เวลานี้ ยูเอสเอส ซุมวอลต์ (USS Zumwalt) เรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถีในชั้นใหม่ลำแรกของกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งใช้เทคโนโลยีสเตลธ์ชั้นยอดเพื่อหลบหลีกการตรวจจับของเรดาร์ อีกทั้งออกแบบสำหรับให้ทำภารกิจหลายๆ อย่างได้มากกว่าเรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถีรุ่นเก่า กำลังเดินทางมุ่งหน้าสู่ท่าเรือประจำการของตนในเมืองซานดิเอโก, รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยที่อาจจะเดินทางต่อไปเทียบท่าในฐานทัพนาวีแห่งใดแห่งหนึ่งของเกาหลีใต้ในช่วงต่อไปของปีนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ซุมวอลต์ก็จะทำให้จีนตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นอีก
นอกเหนือจากเรดาร์ของระบบ ทาด กำลังสร้างความปวดหัวให้แก่จีนแล้ว แน่นอนทีเดียวว่าปักกิ่งย่อมไม่ได้รู้สึกชื่นชมกับสมรรถนะเรดาร์ของเรือพิฆาตซุมวอลต์ หรือในขนาดอันมหึมาของเรือรบลำนี้ ตลอดจนท่อยิงขีปนาวุธหลายสิบท่อของมันซึ่งทำให้เรือพิฆาตลำนี้เป็นแพลตฟอร์มลอยน้ำของระบบป้องกันขีปนาวุธอันน่าเกรงขามซึ่งอำพรางซุกซ่อนตนเองเอาไว้
ในเวลาเดียวกันนั้น ขณะที่เกาหลีเหนือยิงจรวดสำแดงฤทธิ์เดช, การโจมตีทางไซเบอร์, และการแลกเปลี่ยนถ้อยคำดุดันแสลงหูจนกำลังกลายเป็นข่าวดังในหน้าหนึ่งอยู่นี้ เบื้องลึกลงไปแล้ว มันก็ยังคงมีการติดต่อพูดจากันอย่างเงียบๆ แต่ต่อเนื่อง
ผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯและจีนทั้งในภาควิชาการและภาครัฐบาล มีการพบปะพูดจากันครั้งล่าสุดของพวกเขาในกรุงปักกิ่งตอนต้นปีนี้ ถือเป็นการพูดจากันรอบที่ 10 ที่จัดขึ้นโดยศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศศึกษาของสหรัฐฯ (US Center for Strategic and International Studies) และสถาบันเพื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศร่วมสมัยของประเทศจีน (China Institute for Contemporary International Relations) อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของการพูดจาถกเถียงเหล่านี้ไม่ได้มีการนำออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน
ปีเตอร์ เจ. บราวน์ สำเร็จการศึกษาระดับเกียรติยมทางด้านเอเชียศึกษาจาก คอนเนตทิคัต คอลเลจ (Connecticut College) ภายหลังทำงานอยู่ในลาวในช่วงต้นทศวรรษ 1970 เขาเป็นอดีตบรรณาธิการอาวุโสด้านมัลติมีเดียและความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของนิตยสาร “Via Satellite” ที่มีสำนักงานอยู่ในรัฐแมริแลนด์ และก็เป็นผู้เขียนเรื่องให้แก่เอเชียไทมส์ โดยบ่อยครั้งจะเขียนเกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ และประเด็นปัญหาความมั่นคงแห่งชาติในภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้เขาเกิดที่อังการา, ตุรกี และปัจจุบันพำนักที่เคปค็อด, สหรัฐอเมริกา
หมายเหตุผู้แปล
[1] การป้องกันขีปนาวุธ (Missile defense) หมายถึง ระบบ, อาวุธ, หรือเทคโนโลยี เกี่ยวกับการตรวจสอบ, การติดตาม, การสกัดกั้น, และการทำลาย บรรดาขีปนาวุธที่โจมตีเข้ามา การจำแนกประเภทของระบบป้องกันขีปนาวุธนั้น สามารถทำได้หลายวิธีโดยพิจารณาจากคุณสมบัติต่างๆ เป็นต้นว่า ประเภท/พิสัยของการสกัดกั้นขีปนาวุธ, ระยะของวงโคจรของขีปนาวุธที่ยิงเข้ามาซึ่งระบบป้องกันจะเข้าไปสกัดกั้น, การสกัดกระทำที่ด้านในหรือด้านนอกของชั้นบรรยากาศของโลก:
ประเภท/พิสัยของการเข้าสกัดขีปนาวุธที่โจมตีเข้ามา (Type/range of missile intercepted)
ประเภท/พิสัยของการเข้าสกัดนี้ แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับยุทธศาสตร์ (strategic), ระดับยุทธภูมิ (theater), และระดับยุทธวิธี (tactical) แต่ละระดับมีความเรียกร้องต้องการซึ่งแตกต่างกันไป และบ่อยครั้งที่ระบบการป้องกันซึ่งมีสมรรถนะเข้าสกัดประเภทขีปนาวุธประเภทหนึ่ง ไม่สามารถเข้าสกัดประเภทอื่นๆ ได้ อย่างไรก็ตาม บางครั้งบางคราวก็อาจเกิดการเหลื่อมซ้อนในเรื่องสมรรถนะนี้อยู่เหมือนกัน
ประเภท/พิสัยเพื่อการป้องกันขีปนาวุธระดับยุทธศาสตร์ (Strategic missile defense)
มีเป้าหมายป้องกันขีปนาวุธข้ามทวีปพิสัยไกล (long-range ICBMs) ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 7 กม./วินาที (15,700 ไมล์/ชม.) ตัวอย่างของระบบที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันมีอาทิ ระบบ A-135 ของรัสเซียซึ่งใช้ป้องกันกรุงมอสโก, และระบบการป้องกัน Ground-Based Midcourse ของสหรัฐฯที่ใช้ป้องกันสหรัฐฯจากขีปนาวุธซึ่งยิงมาจากทางเอเชีย ทั้งนี้พิสัยทางภูมิศาสตร์ของการป้องกันระดับยุทธศาสตร์ อาจจะเป็นภูมิภาค (ระบบของรัสเซีย) หรืออาจจะเป็นประเทศ (ระบบของสหรัฐฯ)
ประเภท/พิสัยเพื่อการป้องกันขีปนาวุธระดับยุทธภูมิ (Theater missile defense)
มีเป้าหมายป้องกันขีปนาวุธพิสัยกลาง ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วราว 3 กม./วินาที (6,700 ไมล์/ชม.) หรือช้ากว่านั้น ในบริบทนี้ คำว่า “ยุทธภูมิ” (theater) หมายถึงอาณาบริเวณของภูมิภาคทั้งหมดซึ่งถูกใช้ในการปฏิบัติการทางทหาร ปกติแล้วมีรัศมีในระดับหลายร้อยกิโลเมตร ตัวอย่างของระบบการป้องกันขีปนาวุธที่มีอยู่ในปัจจุบันหรือกำลังจะถูกนำเข้าประจำการในเร็วๆ นี้ ซึ่งถือเป็นประเภท/พิสัยในระดับยุทธภูมิ ได้แก่ ขีปนาวุธ “แอร์โรว์” (Arrow missile) ของอิสราเอล, THAAD ของอเมริกา, และ S-400 ของรัสเซีย
ประเภท/พิสัยเพื่อการป้องกันขีปนาวุธระดับยุทธวิธี (Tactical missile defense)
มีเป้าหมายป้องกันขีปนาวุธนำวิถีทางยุทธวิธีที่มีพิสัยสั้น ซึ่งปกติเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วน้อยกว่า 1.5 กม./วินาที (3,400 ไมล์/ชม.) ระบบต่อสู้ขีปนาวุธนำวิถี (anti-ballistic missiles หรือ ABMs) ทางยุทธวิธี มีพิสัยทำการสั้น ปกติอยู่ที่ระหว่าง 20-80 กม. (12-50 ไมล์) ตัวอย่างของ ABMs ทางยุทธวิธีที่มีการนำเข้าประจำการกันในปัจจุบัน ได้แก่ MIM-104 Patriot ของอเมริกัน และ S300-V ของรัสเซีย
ระยะของวงโคจรของขีปนาวุธที่ยิงเข้ามาซึ่งระบบป้องกันจะเข้าไปสกัดกั้น (Trajectory phase)
ขีปนาวุธนำวิถีที่โจมตีเข้ามา สามารถที่จะเข้าสกัดกั้นใน 3 บริเวณของวงจรของมัน ได้แก่ บริเวณขณะวงโคจรอยู่ในระยะขับดัน (boost phase), บริเวณขณะวงโคจรอยู่ในระยะขึ้นไปจนสุดกำลังของจรวดส่งและเริ่มกลับลงมาสู่พื้นโลก (midcourse phase), บริเวณขณะวงโคจรอยู่ในระยะกลับลงมาสู่พื้นโลก (terminal phase)
Boost phase
การเข้าสกัดขีปนาวุธขณะที่เครื่องยนต์จรวดของมันกำลังติดเครื่อง ระบบป้องกันขีปนาวุธที่มุ่งสกัดกั้นในระยะนี้ ปกติแล้วมักเป็นการเข้าโจมตีบริเวณที่ใช้เป็นฐานปล่อยขีปนาวุธ ตัวอย่างเช่น อาวุธเลเซอร์ติดตั้งบนเครื่องบินของอเมริกาที่ใช้ชื่อว่า Boeing YAL-1 ของอเมริกา (เวลานี้โครงการถูกยกเลิกไปแล้ว)
ข้อดี
•ไอเสียจากจรวดที่ทั้งร้อนและมีแสงจ้า ทำให้สามารถติดตามและเล็งทำลายได้ง่ายขึ้น
•ในขณะอยู่ในระยะขับดันนี้ ไม่สามารถปล่อยตัวหลอก (decoy) เพื่อลวงจรวดสกัดกั้นให้ไปทางอื่น
•ในขั้นนี้ ขีปนาวุธเต็มไปด้วยเชื้อเพลิงจรวดที่ติดไฟได้ดี จึงสามารถเข้าทำลายหัวรบที่ก็เป็นวัตถุระเบิดอยู่แล้วได้โดยง่าย
ข้อเสีย
•เป็นเรื่องยากที่จะนำเอาจรวดสกัดกั้นไปติดตั้งยังพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ซึ่งสามารถเข้าสกัดทำลายขีปนาวุธโจมตีในระยะขับดัน (เนื่องจากอาจจะต้องให้จรวดสกัดกั้นบินผ่านพื้นที่ของข้าศึก ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ทำได้เสมอไป)
•มีช่วงเวลาสั้นมากในการเข้าสกัดกั้น (ปกติแล้วราว 180 วินาทีเท่านั้น)
midcourse phase
การเข้าสกัดกั้นขีปนาวุธในอวกาศ หลังจากจรวดส่งขีปนาวุธข้าศึกใช้เชื้อเพลิงหมดแล้ว (ตัวอย่างเช่น ระบบการ Ground-Based Midcourse หรือ GMD ของอเมริกา, ขีปนาวุธ Arrow 3 ของอิสราเอล, จีนก็กำลังทดสอบระบบต่อสู้ขีปนาวุธในระยะ midcourse อยู่เช่นกัน)
ข้อดี
•มีเวลามากขึ้นที่จะตัดสินใจ/เข้าทำการสกัด (ระยะเวลาที่ขีปนาวุธพุ่งขึ้นสู่อวกาศ และจากนั้นก็กลับตกลงมาสู่บรรยากาศของโลกนั้น อาจจะกินเวลาหลายนาที ยิ่งสำหรับขีปนาวุธข้ามทวีป หรือ ICBM ด้วยแล้ว อาจจะมีเวลาถึง 20 นาที)
•เป็นระบบป้องกันที่สามารถครอบคลุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ขนาดใหญ่มาก อาจถึงขนาดครอบคลุมระดับทวีปทั้งทวีป
ข้อเสีย
•จำเป็นต้องใช้ขีปนาวุธนำวิถีต่อต้าน (anti-ballistic missiles) ที่มีขนาดใหญ่และน้ำหนักมาก รวมทั้งต้องใช้เรดาร์ที่มีกำลังสูง และมักต้องเสริมด้วยอุปกรณ์เซนเซอร์ที่ติดตั้งอยู่ในอวกาศ
•ต้องคิดหาวิธีรับมือกับการที่ข้าศึกอาจจะปล่อย “ตัวหลอก” จากฐานในอวกาศ
Terminal phase
การเข้าสกัดกั้นขีปนาวุธที่โจมตีเข้ามาหลังจากมันตกกลับเข้ามาสู่บรรยากาศของโลกแล้ว ตัวอย่างเช่น ระบบป้องกันขีปนาวุธนำวิถี เอจิส (Aegis Ballistic Missile Defense System) ของอเมริกา, สปรินต์ (Sprint) ของอเมริกา, ABM-3 Gazelle ของรัสเซีย
ข้อดี
•สามารถใช้ขีปนาวุธต่อต้านที่มีขนาดเล็กลงและน้ำหนักน้อยลง
•ตัวหลอกแบบใช้บอลลูนจะไม่ทำงานขณะกลับลงมาสู่บรรยากาศโลก
•สามารถใช้เรดาร์ติดตามที่มีขนาดเล็กลงและประณีตซับซ้อนน้อยลงได้
ข้อเสีย
•มีเวลาในการสกัดสั้นมาก อาจจะไม่ถึง 30 วินาที
•ครอบคลุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่จะป้องกันได้น้อยกว่า
•มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้บริเวณที่เป็นเป้าหมายของการสกัดต้องปนเปื้อนด้วยวัสดุอันตราย ในกรณีที่ต้องทำการระเบิดหัวรบนิวเคลียร์
การสกัดกั้นกระทำที่ด้านในหรือด้านนอกของชั้นบรรยากาศของโลก (Intercept location relative to the atmosphere)
การป้องกันขีปนาวุธสามากระทำได้ที่ด้านใน (endoatmospheric) หรือด้านนอก (exoatmospheric) ของชั้นบรรยากาศของโลก วิถีโคจรของขีปนาวุธนำวิถีเกือบทั้งหมดจะนำพวกมันสู่ทั้งด้านในและด้านนอกบรรยากาศของโลก และสามารถที่จะทำการสกัดในทั้งสองอาณาบริเวณ โดยมีข้อดีและข้อเสียต่างๆ กัน
ระบบป้องกันขีปนาวุธบางระบบ เช่น THAAD สามารถสกัดทั้งบริเวณด้านในและด้านนอกบรรยากาศของโลก ทำให้มีโอกาสที่จะเข้าสกัด 2 ครั้ง
การสกัดกั้นที่ด้านในบรรยากาศของโลก (Endoatmospheric)
ขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านซึ่งทำการสกัดกั้นที่ด้านในบรรยากาศของโลกนั้น ปกติแล้วเป็นพวกที่มีพิสัยทำการสั้น ตัวอย่างเช่น MIM-104 Patriot ของอเมริกา และ Advanced Air Defence ของอินเดีย
ข้อดี
•มีขนาดเล็กกว่าและน้ำหนักเบากว่า
•ง่ายต่อการเคลื่อนย้ายและติดตั้ง
•การเข้าสกัดกั้นที่ด้านในของบรรยากาศโลก หมายความว่า ตัวหลอกประเภทบอลลูนจะใช้ไม่ได้ผล
ข้อเสีย
•มีพิสัยทำการและครอบคลุมพื้นที่ป้องกันเพียงจำกัด
•มีเวลาอันจำกัดในการตัดสินใจและในการติดตามหัวรบที่กำลังพุ่งเข้ามา
การสกัดกั้นที่ด้านนอกบรรยากาศของโลก (Exoatmospheric)
ขีปนาวุธนำวิถีต่อต้านซึ่งทำการสกัดกั้นที่ด้านนอกบรรยากาศของโลก ปกติแล้วมีพิสัยทำการยาวกว่า ตัวอย่างเช่น ระบบ Ground-Based Midcourse Defense ของอเมริกา
ข้อดี
•มีเวลามากขึ้นในการตัดสินใจและในการติดตาม
•ใช้ขีปนาวุธน้อยลงสำหรับการป้องกันพื้นที่ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก
ข้อเสีย
•ต้องใช้ขีปนาวุธขนาดใหญ่ขึ้น/น้ำหนักมากขึ้น
•ลำบากมากขึ้นในการขนส่งและในการติดตั้งเมื่อเทียบกับขีปนาวุธขนาดเล็กกว่า
•ต้องคอยรับมือกับตัวหลอก
(ข้อมูลจาก Wikipedia)