รอยเตอร์ - สถิติอาชญากรรมความเกลียดชัง (hate crimes) ใน 9 เมืองใหญ่ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่า 20% ในปีที่แล้ว โดยสาเหตุสำคัญเกิดจากแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ก่อความแตกแยกในสังคม อีกทั้งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อก็กล้าที่จะออกมาเปิดเผยตัวตนมากขึ้น
ไบรอัน เลวิน นักวิจัยด้านอาชญากรรมความเกลียดชังที่มีชื่อเสียงจากรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุวานนี้ (13 มี.ค.) ว่า อาชญากรรมซึ่งมีที่มาจากอคตินั้นเกิดบ่อยขึ้นในบางเมืองของสหรัฐฯ หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ปีที่แล้ว และแนวโน้มดังกล่าวก็ยังต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ ดังจะเห็นได้จากการขู่วางระเบิดและทำลายศาสนสถานหรือสุสานของชาวยิว
เลวิน ซึ่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการศึกษาความเกลียดชังและแนวคิดสุดโต่ง มหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย เมืองซานเบอร์นาดิโน ได้ทำการเก็บข้อมูลจากสำนักงานตำรวจหลายแห่ง และพบว่าอาชญากรรมความเกลียดชังที่เคยมีแนวโน้มลดลงในช่วงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ กำลังกลับมาเพิ่มขึ้น
นครนิวยอร์กเกิดอาชญากรรมประเภทนี้มากถึง 380 กรณี เพิ่มขึ้น 24% จากปี 2015 ขณะที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพิ่มขึ้น 62% มาอยู่ที่ 107 กรณี
โดยภาพรวมทั้งหมด สหรัฐฯ ต้องเผชิญอาชญากรรมความเกลียดชังถึง 1,037 กรณีในปี 2016 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 23.3% จากปีก่อนหน้า โดยเก็บสถิติจาก 9 เมืองใหญ่ ได้แก่ นิวยอร์ก, วอชิงตัน ดี.ซี., ชิคาโก, ฟิลาเดลเฟีย, เทศมณฑลมอนต์โกเมอรี รัฐแมริแลนด์, เมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ, ซีแอตเติล, เมืองลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย และซินซินแนติ
ทรัมป์ ได้ออกมาติเตียนกระแสต่อต้านชาวเซมิติกและอาชญากรรมทางเชื้อชาติด้วยถ้อยคำที่รุนแรง โดยเฉพาะตอนแถลงนโยบายประจำปีต่อสภาคองเกรส เมื่อวันที่ 28 ก.พ.
ผู้นำสหรัฐฯ ยอมรับว่า เขาได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหานี้ เนื่องจาก อิวานกา ทรัมป์ บุตรสาวของเขาได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนายูดาย และหลานๆ ของเขาก็เกิดมาเป็นชาวยิว
เฉพาะที่นิวยอร์กเมืองเดียวก็มีอาชญากรรมจากความเกลียดชังชาวเซมิติกเกิดขึ้นถึง 55 กรณี ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 5 มี.ค. ปีนี้ เพิ่มขึ้นถึง 189% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2016 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้เพียง 19 กรณี
“นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีชาวเซมิติกที่จะเกิดบ่อยขึ้นในปีนี้ ทั้งที่มันมีแนวโน้มลดลงตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา” เลวิน กล่าว
ความมีอคติต่อชาวมุสลิม เลสเบียน เกย์ ไบเซ็กชวล และคนข้ามเพศ ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อาชญากรรมความเกลียดชังเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า อาชญากรรมความเกลียดชังที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกรายงานต่อทางการ จึงไม่ควรด่วนสรุปจากตัวอย่างข้อมูลที่ยังถือว่าน้อยมาก
ทรัมป์ เคยประกาศจะสร้างกำแพงกั้นพรมแดนระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโกเพื่อสกัดกั้นผู้อพยพผิดกฎหมาย และยังเสนอให้มีการห้ามชาวมุสลิมเดินทางเข้าสหรัฐฯ ชั่วคราว ทว่า เขาก็ได้ผ่อนจุดยืนเหล่านี้ลงมาหลังจากที่เป็นประธานาธิบดีแล้ว
เลวิน ระบุว่า การนำเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา และประเทศกำเนิดมาเป็นเครื่องมือหาเสียง คือปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้อาชญากรรมความเกลียดชังเกิดบ่อยขึ้น และมีการเข้าแจ้งความต่อตำรวจมากขึ้นด้วย
“ปรากฏการณ์ดังกล่าว บวกกับการรายงานของสื่อมวลชน น่าจะกระตุ้นให้ 2 สิ่งเกิดขึ้น คือ 1) พวกคนหัวดื้อหรือพวกที่ชอบความตื่นเต้นก็อยากจะลงมือก่อเหตุ และ 2) เหยื่อรู้สึกว่าพวกเขาควรเข้าแจ้งความ เพราะไม่ได้โดนอยู่คนเดียว”
