xs
xsm
sm
md
lg

รบ.ปินส์จ่อฟื้นเจรจาสันติภาพกับกบฏคอมมิวนิสต์ หลัง “ดูเตอร์เต” เคยขู่จะรบไปอีก 50 ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต แห่งฟิลิปปินส์
เอเอฟพี - รัฐบาลฟิลิปปินส์เริ่มต้นหยุดยิงกับกบฏคอมมิวนิสต์ที่ก่อความไม่สงบในประเทศมาอย่างยาวนานอีกครั้งในวันนี้ (12 มี.ค.) และเตรียมรื้อฟื้นการเจรจาสันติภาพ หลังจากที่ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต เคยออกมาขู่จะทำสงครามต่อเนื่องไปอีก 50 ปี

คำแถลงร่วมระหว่างผู้แทนเจรจาฝ่ายมะนิลากับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic Front - NDF) ซึ่งได้ประชุมร่วมกันที่เมืองอูเทรกต์ (Utrecht) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระบุว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะรื้อฟื้นการเจรจาสันติภาพขึ้นมาใหม่

“ทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมผลักดันการเจรจาสันติภาพต่อไป และขอยืนยันในข้อตกลงและคำแถลงร่วมที่เคยมี” ก่อนการเจรจาครั้งล่าสุดจะปิดฉากลงอย่างกะทันหันเมื่อปลายเดือน ก.พ.

“ระหว่างนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการหยุดยิง” ทันทีที่แต่ละฝ่ายได้แจ้งให้กองกำลังของตนเองทราบ

หลังเข้ารับตำแหน่งผู้นำฟิลิปปินส์เมื่อเดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว ดูเตอร์เต ซึ่งยอมรับว่าตนเองเป็น “นักสังคมนิยม” ก็ได้เริ่มรื้อฟื้นการเจรจาสันติภาพกับ NDF ซึ่งมีนักรบอยู่ราว 4,000 คน

ดูเตอร์เตได้สั่งปล่อยตัวแกนนำกบฏที่ถูกจับกุม และทั้ง 2 ฝ่ายก็ได้สั่งให้มีการหยุดยิงเพื่อปูทางไปสู่เวทีเจรจาสันติภาพในต่างแดน

อย่างไรก็ตาม ดูเตอร์เต ซึ่งไม่พอใจที่ทหารฟิลิปปินส์ยังคงถูกพวกกบฏคอมมิวนิสต์โจมตีจนเสียชีวิตไปหลายนาย ได้สั่งยกเลิกแผนเจรจาสันติภาพทั้งหมดเมื่อเดือน ก.พ. พร้อมประกาศให้กองทัพเตรียมตัวทำสงครามกวาดล้างต่อ แม้จะต้องยาวนานอีก 50 ปีก็ตาม

ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดูเตอร์เตได้สั่งให้ทั้งทหารและตำรวจยกระดับปฏิบัติการกวาดล้างพวกกบฏลัทธิเหมา หลังมีตำรวจเสียชีวิตจากการถูกโจมตีเพิ่มอีก 4 นาย

“คราวนี้ผมจะใช้ทุกอย่างที่มี ผมสนับสนุนให้ตำรวจระดมเครื่องบินรุ่นใหม่ จรวด และระเบิด เราจะทำให้เนินเขาพวกนั้นราบเป็นหน้ากลองไปเลย” ดูเตอร์เตกล่าว

คำแถลงร่วมของทั้ง 2 ฝ่ายวันนี้ (12) ระบุว่า ผู้แทนเจรจาของ NDF ซึ่งถูกจับกุมหลังจากการเจรจาครั้งก่อนไม่เป็นผล จะได้รับการปล่อยตัว

การเจรจารอบใหม่จะมีขึ้นในเดือน เม.ย. และครั้งถัดไปในเดือน มิ.ย.

การสู้รบระหว่างกองทัพฟิลิปปินส์กับกบฏลัทธิเหมาซึ่งเริ่มปะทุขึ้นในปี 1968 ถือว่ายืดเยื้อยาวนานเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และทำให้มีผู้ถูกสังหารไปแล้วไม่ต่ำกว่า 30,000 ราย

กำลังโหลดความคิดเห็น