เอเอฟพี/รอยเตอร์ - นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ระบุในวันศุกร์(3มี.ค.) การปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงปลายเดือนนี้ จะเป็นเรื่องที่เหมาะสม หากว่าตัวเลขการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามที่คาดหมาย ความเห็นที่ดูเหมือนว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า
ก่อนหน้านี้ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯหลายคน คาดหมายเช่นกันว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินจะปรับขึ้นดอกเบี้ย ณ ที่ประชุมระหว่างวันที่ 14-15 มีนาคมนี้
"ที่ประชุมของเราในเดือนนี้ คณะกรรมการจะประเมินการจ้างงานและภาวะเงินเฟ้อ ว่ายังคงมีพัฒนาการตามกรอบที่เราคาดหมายหรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น การปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม จะเป็นเรื่องที่เหมาะสม" จากสำเนาคำบรรยายของเยลเลน ที่เธอเตรียมกล่าวกับงานสัมมนาการลงทุนและการประชุมทางธุรกิจในชิคาโก
ในคำบรรยาย เยลเลนยังบอกด้วยว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้การกุมบังเหียนของเธอ ดูเหมือนจะใกล้ก้าวผ่านอุปสรรคขวากหนามทั้งภายในและภายนอกประเทศได้แล้ว
"โดยรวมแล้ว แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจปานกลางดูน่ายินดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงต่างๆที่แผ่ออกมาจากภายนอกดูเหมือนได้ลดลงไปบ้างแล้ว" เยลเลนกล่าว พร้อมระบุว่าเป้าหมายการจ้างงานของเฟดเป็นไปตามเป้าส่วนใหญ่ และภาวะเงินเฟ้อกำลังฟื้นตัว
ข้อมูลเงินเฟ้อที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ(1มี.ค.) พบว่าดัชนีราคาผู้บริโภคประจำเดือนมกราคม พุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบ 4 ปีและส่งผลให้รอบ 12 เดือน ดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.9 เปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่าระดับเป้าหมาย 2 เปอร์เซ็นต์ของเฟด แค่ 0.1 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ข้อมูลการจ้างงานรายเดือนมีกำหนดเผยแพร่ในวันศุกร์หน้า(10มี.ค.)
เฟดเพิ่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ในรอบทศวรรษ ณ การประชุมทางนโยบายเมื่อเดือนธันวาคมปีก่อน แต่คาดหมายกันว่าจะมีการประขึ้น 3 ครั้งในปีนี้ จากตัวเลขคนว่างงานระดับต่ำ(ปัจจุบันอยู่ที่ 4.8 เปอร์เซ็นต์) และอัตราเงินเฟ้อที่ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้เหล่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟดยังมีมุมมองต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจอย่างมีชีวิตชีวา จากความเชื่อมั่นที่มากขึ้นในภาคธุรกิจและผู้บริโภค นับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ จากรีพับลิกัน ได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน
อย่างไรก็ตาม เยนเลย ไม่ได้พูดโดยตรงว่านโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทรัมป์ก่อผลกระทบอย่างไร