xs
xsm
sm
md
lg

แพทย์ชันสูตรพบสารพิษร้ายแรง “วีเอ็กซ์” บนใบหน้าศพ “คิม จองนัม”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คิม จอง นัม พี่ชายต่างมารดาของผู้นำ คิม จอง อึน แห่งเกาหลีเหนือ
เอเจนซีส์ - แพทย์ชันสูตรตรวจพบสาร “วีเอ็กซ์” ซึ่งเป็นสารพิษทำลายระบบประสาทชนิดรุนแรงบนใบหน้าของ คิม จองนัม พี่ชายต่างมารดาผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งถูกลอบสังหารที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ตำรวจมาเลเซียแถลงวันนี้ (24 ก.พ.)

ร่องรอยของสารวีเอ็กซ์ซึ่งเป็นสารเคมีไร้สี ไร้กลิ่น ที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ขึ้นบัญชีเป็น "อาวุธทำลายล้างสูง" ปรากฏอยู่บนใบหน้าและดวงตาของคิม ซึ่งถูกหญิงสาว 2 คนใช้สารพิษจู่โจมจากทางด้านหลัง ขณะรอขึ้นเครื่องที่สนามบิน KLIA 2 เมื่อวันที่ 13 ก.พ.

ศูนย์เพื่อการวิเคราะห์อาวุธเคมีแห่งสำนักงานเคมีมาเลเซีย (Jabatan Kimia Malaysia) เผยผลการตรวจเบื้องต้น ซึ่งพบว่าสารพิษบนใบหน้าของศพคือ S-2 Diisoprophylaminoethyl methylphosphonothiolate

ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า สารวีเอ็กซ์เป็นสารทำลายประสาทที่มีพิษรุนแรงที่สุด และเคยพบแต่ในสงครามอาวุธเคมีเท่านั้น

สารพิษชนิดนี้อาจผลิตออกมาในรูปของเหลว ครีม หรือสเปรย์ก็ได้ ซึ่งหากเหยื่อสัมผัสในปริมาณมากก็จะเสียชีวิตภายใน 15 นาที ตามข้อมูลจากศูนย์ชีวเคมีเอ็ดจ์วูดแห่งกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งยกให้วีเอ็กซ์เป็นสารพิษทำลายระบบประสาทที่มีอานุภาพร้ายแรงที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จัก

สารวีเอ็กซ์ซึ่งมีผิวสัมผัสคล้ายน้ำมันเครื่องถูกผลิตขึ้นเป็นครั้งแรกในสหราชอาณาจักรเมื่อช่วงทศวรรษ 1950 โดยปริมาณเพียง 10 มิลลิกรัม หรือ “หยดเดียว” ก็สามารถฆ่าคนให้ตายได้ภายในไม่กี่นาที

ผู้ที่ถูกพิษจากสารชนิดนี้จะเกิดอาการชักอย่างรุนแรง หมดสติ เป็นอัมพาต และระบบหายใจล้มเหลวในที่สุด

“ลองจิตนาการง่ายๆ ว่าวีเอ็กซ์ก็เหมือนยาฆ่าแมลงที่มีสเตียรอยด์เป็นส่วนผสม มันเป็นสารที่มีพิษรุนแรงมาก แค่ 1/100 ของ 1 กรัม หรือ 1 ใน 3 ของปริมาณ 1 หยด หากสัมผัสผิวหนังก็สามารถฆ่าคนได้แล้ว” บรูซ เบนเน็ตต์ นักวิจัยกลาโหมจากสถาบัน แรนด์ คอร์ปอเรชัน ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุ

วีเอ็กซ์ จัดเป็นสารพิษที่อานุภาพรุนแรงยิ่งว่า “แก๊สซาริน” หรือสารพิษทำลายระบบประสาทอื่นๆ เนื่องจากสามารถคงอยู่ได้นาน (perisitency) ในขณะที่แก๊สซารินสามารถระเหยหมดไปจากผิวหนังได้ แต่วีเอ็กซ์ไม่เป็นเช่นนั้น

สารพิษชนิดนี้ผลิตได้ยาก และมีเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ทราบกันว่ามีสารวีเอ็กซ์อยู่ในครอบครอง ในจำนวนนั้นได้แก่ สหรัฐฯ และรัสเซีย
กล้องวงจรปิดของสนามบิน KLIA2 บันทึกเหตุการณ์ขณะที่หญิงชาวเวียดนามและอินโดนีเซียใช้สารพิษโปะเข้าที่ใบหน้าของ คิม จอง นัม
คิม จองนัม วัย 45 ปี ถูกลอบสังหารระหว่างเตรียมตัวขึ้นเครื่องบินจากมาเลเซียกลับไปยังมาเก๊า

ภาพจากกล้อง CCTV เผยให้เห็นหญิงสาว 2 คนเดินมุ่งตรงไปยังคิม และใช้สิ่งของบางอย่างโปะเข้าที่ใบหน้าของเขาจากทางด้านหลัง จากนั้น คิม ได้พยายามเดินไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สนามบินซึ่งได้เรียกรถพยาบาลให้ ทว่าเขาเกิดอาการชักและเสียชีวิตก่อนที่จะไปถึงโรงพยาบาล

แพทย์ชันสูตรได้ตัดประเด็น “หัวใจล้มเหลว” ออกไปก่อนหน้านี้ ขณะที่พนักงานสอบสวนเชื่อว่าทฤษฎีการถูกพิษที่ใบหน้ามีความเป็นไปได้มากที่สุด

ตำรวจมาเลเซียควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเอาไว้ 3 ราย เป็นหญิงชาวอินโดนีเซียและเวียดนาม และชายชาวเกาหลีเหนือ แต่ยังต้องการตัวผู้ต้องสงสัยอีก 7 รายมาสอบปากคำ

หลังจากนิ่งเงียบมานานถึง 10 วันเต็ม สื่อรัฐบาลเกาหลีเหนือได้เอ่ยถึงการเสียชีวิตของ คิม จองนัม เป็นครั้งแรกเมื่อวานนี้ (23) โดยกล่าวหามาเลเซียว่าจัดการคดีนี้อย่าง “ไร้ศีลธรรม” และเอาศพมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง

สำนักข่าวเคซีเอ็นเอยังกล่าวโทษมาเลเซียว่าสมคบคิดกับรัฐบาลเกาหลีใต้ และเป็นตัวการหลักที่จะต้อง “รับผิดชอบ” ต่อการตายของ คิม จองนัม

สื่อโสมแดงยังประณามทางการเสือเหลืองที่ไม่ยอมคืนศพให้แก่สถานทูต “โดยอ้างบริบทที่ไร้สาระ” ว่าจำเป็นจะต้องได้ตัวอย่างดีเอ็นเอจากญาติผู้ตายเสียก่อน

รัฐบาลเปียงยางไม่เคยยอมรับอย่างเป็นทางการว่าผู้เสียชีวิตคือพี่ชายของ คิม จองอึน และถ้อยแถลงยาวเหยียดของเคซีเอ็นเอก็เลี่ยงที่จะเอ่ยถึงตัวตนของ คิม จองนัม โดยใช้คำว่า “พลเมืองเกาหลีเหนือซึ่งถือหนังสือเดินทางการทูต” เท่านั้น

สารพิษทำลายระบบประสาททุกชนิดจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ตัวหนึ่งซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับ “สวิตช์” ปิดการทำงานของต่อมต่างๆ และกล้ามเนื้อ ซึ่งหากเอนไซม์เสื่อมสภาพ ต่อมและกล้ามเนื้อก็จะถูกกระตุ้นให้ทำงานหนักอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งอ่อนแรง และเกิดภาวะหายใจล้มเหลว
กลุ่มนักเคลื่อนไหวของพรรคอัมโน (UMNO) ยืนถือป้ายประท้วงหน้าสถานทูตเกาหลีเหนือในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวานนี้ (23 ก.พ.)
กลุ่มนักเคลื่อนไหวของพรรคอัมโน (UMNO) ยืนถือป้ายประท้วงหน้าสถานทูตเกาหลีเหนือในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวานนี้ (23 ก.พ.)

กำลังโหลดความคิดเห็น