xs
xsm
sm
md
lg

'พระซีอีโอ' แห่งวัดเส้าหลิน พ้นทุกข้อกล่าวหาทั้งเรื่องเสพเมถุน-ทุจริต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ไฉซิน โกลบอล

เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน ซือ หย่งซิน
Shaolin Temple’s ‘CEO Monk’ Survives Salacious Accusations
By Guo Qingyuan and Li Sijia, Caixin Global
16/02/2017

ภายหลังการสอบสวนที่ดำเนินอยู่เป็นเวลา 15 เดือน ไม่ว่าจะเรื่องเสื้อคลุมพระแบบจีนที่ถักทอด้วยเส้นทองคำมูลค่าชุดละ 25,000 ดอลลาร์ ไปจนถึงการตรวจดีเอ็นเอเพื่อวินิจฉัยตัดสินว่าท่านเป็นบิดาของเด็กคนหนึ่งจริงหรือไม่ เวลานี้ หน่วยงานปราบปรามการทุจริตของจีนก็ออกมาประกาศว่า ซือ หย่งซิน เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน พ้นจากข้อกล่าวหาทั้งหลายทั้งปวง

ในฤดูร้อนปี 2015 อดีตลูกศิษย์ผู้หนึ่งได้กล่าวหา ซือ หย่งซิน (Shi Yongxin) ว่า เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินรูปนี้มีพฤติการณ์หยาบช้าลามกต่างๆ นานา เป็นต้นว่า บังคับขู่เข็ญเรียกเงินทองจากสานุศิษย์, โยกย้ายถ่ายเทหุ้นบริษัทของวัดไปให้ภรรยาน้อยคนหนึ่ง, และเป็นบิดาของเด็กที่เกิดกับแม่ชีรูปหนึ่ง ทว่าในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2017 ที่ผ่านมา คณะสอบสวนในมณฑลเหอหนาน ทางภาคกลางของจีน ซึ่งเป็นมณฑลที่อารามแห่งนี้ตั้งอยู่ ได้ปลดเปลื้องท่านพ้นจากข้อกล่าวหาทุกๆ ข้ออย่างเป็นทางการ

วัดเส้าหลิน ซึ่งเป็นวัดโบราณเก่าแก่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 495 คือแหล่งกำเนิดของพุทธศาสนานิกายฌาน ที่เป็นต้นแบบต้นเค้าของนิกายเซนซึ่งเน้นเรื่องการเข้าสมาธิ รวมทั้งมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องที่พระสงฆ์ฝึกปรือวิทยายุทธ์ จนกลายเป็น “พระนักรบ” ระหว่างเวลาที่พระหย่งซินดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสนั้น วัดแห่งนี้ได้เติบโตขยายตัวจนกลายเป็นอาณาจักรเชิงพาณิชย์อันใหญ่โตกว้างขวาง ซึ่งสามารถทำเงินได้เป็นล้านๆ หยวนจากการอนุญาตให้ภาพยนตร์และเกมวิดีโอใช้เครื่องหมายการค้า “เส้าหลิน” ของตน และจากการจำหน่ายสินค้าข้าวของต่างๆ อย่างหลากหลาย ตั้งแต่ข้าวไปจนถึงยาจีนภายใต้แบรนด์เส้าหลิน อันเป็นที่เคารพศรัทธามานานปี

ในการแสวงหาความเติบใหญ่ขยายตัวเช่นนี้ เจ้าอาวาสหย่งซินได้ยื่นฟ้องร้องคดีละเมิดเครื่องหมายการค้าเป็นจำนวนหลายร้อยคดี และผูกสัมพันธ์สนิทกับพวกหน้าที่รัฐบาลซึ่งคอยช่วยหล่อลื่นกงล้อของวัดให้หมุนเคลื่อนก้าวหน้าเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ ทว่าในเส้นทางดังกล่าวท่านก็ได้บ่มเพาะสร้างศัตรูขึ้นมาจำนวนหนึ่ง

ครั้นแล้วเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2015 ได้มีผู้โพสต์บทความในฟอรั่มอินเทอร์เน็ตภาษาจีนแห่งหนึ่ง โดยใช้ชื่อบทความว่า “ใครกำลังติดตามตรวจสอบ 'เสือใหญ่' แห่งเส้าหลิน เจ้าอาวาส สือ หย่างซิน?” ซึ่งได้ก่อให้เกิดคลื่นช็อกสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศจีนและประชาคมชาวพุทธ บทความนี้ผู้เขียนใช้นามแฝงว่า “ซือ เจิ้งอี้” (Shi Zhengyi) “ซือ” เป็นคำนำหน้าชื่อซึ่งพระสงฆ์ของวัดเส้าหลินใช้กันทุกรูป ส่วน “เจิ้งอี้” สามารถที่จะแปลความว่า “ยุติธรรม” ได้ในภาษาจีนกลาง

บทความที่โพสต์นี้มีภาพประกอบอยู่หลายๆ ภาพ โดยเป็นภาพของผู้หญิงที่โกนผมผู้หนึ่งกำลังเล่นกับเด็กเล็กคนหนึ่ง ซึ่งบทความดังกล่าวอ้างว่าเจ้าอาวาสหย่งซินคือบิดาของเด็กผู้นี้ มีภาพอีกภาพหนึ่งแสดงให้เห็นใบแจ้งความตำรวจเขียนด้วยลายมือโดยผู้หนึ่งคนหนึ่งในเมืองเซินเจิ้น ซึ่งเธออ้างว่ามีเพศสัมพันธ์กับเจ้าอาวาสหย่งซิน ผู้หญิงคนนี้เคยถึงขนาดอ้างว่าเธอเก็บถุงยางอนามัยชิ้นหนึ่งที่มีน้ำอสุจิของเจ้าอาวาสผู้นี้เอาไว้ด้วย ทว่าในเวลาต่อมาเธอได้ถอนคำพูดของเธอเหล่านี้โดยกล่าวว่าเป็นการแจ้งความที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนั้นบทความยังมีภาพของ “หูโข่ว” (hukou) หรือทะเบียนครัวเรือน 2 ฉบับ ซึ่งตั้งใจแสดงให้เห็นว่าเป็นของเจ้าอาวาสหย่งซินทั้ง 2 ใบ ฉบับหนึ่งระบุเป็นทะเบียนครัวเรือนในเมืองเกิดของท่านและใช้ชื่อในตอนเกิดของท่านคือ หลิว อิงเฉิง (Liu Yingcheng) ส่วนอีกฉบับหนึ่งใช้นามฉายาตอนเป็นพระสงฆ์ของท่าน การมีทะเบียนครัวเรือนเกินกว่า 1 ฉบับเช่นนี้เป็นการละเมิดกฎหมายของจีน

หลังจากมีการแฉเรื่องเหล่านี้ผ่านไปไม่กี่วัน อดีตลูกศิษย์ของเจ้าอาวาสหย่งซิน ที่มีนามว่า ซือ เอี้ยนลู่ (Shi Yanlu)และบุคคลวงในของวัดอีกหลายราย ก็ได้ยื่นคำร้องเรียนอย่างเป็นทางการต่ออัยการของรัฐ ซึ่งก็คือ สำนักงานอัยการประชาชนสูงสุด (Supreme People's Procuratorate) รวมทั้งสำนักงานบริหารแห่งรัฐเพื่อกิจการศาสนา (State Administration for Religious Affairs) และพุทธสมาคมแห่งประเทศจีน (Buddhist Association of China)

การสอบสวนของทางการเริ่มขึ้นทันทีหลังจากนั้น และผลการสอบสวนก็มีการเปิดเผยออกมาเป็น 2 ระลอก ในเดือนพฤศจิกายน 2015 และ 4 กุมภาพันธ์ 2017 รายงานที่เผยแพร่ในเดือนพฤศจิกายน 2015 นั้นสรุปว่าข้อกล่าวว่าที่ว่าเจ้าอาวาสหย่งซินเป็นบิดาของเด็กคนหนึ่งนั้นไม่เป็นความจริง รวมทั้งพวกข้อกล่าวอ้างที่ว่าครั้งหนึ่งท่านเคยถูกขับไล่ออกจากวัดก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน

ส่วนรายงานที่เผยแพร่ในเดือนกุมภาพันธ์ 2017 มีข้อสรุปว่า ข้อกล่าวหาต่างๆ ที่ว่า เจ้าอาวาสหย่งซินได้บังคับขู่เข็ญเอาเงินจำนวนกว่า 7 ล้านหยวน (ราว 1 ล้านดอลลาร์) จาก ซือ เอี้ยนลู่ นั้นไม่เป็นความจริง พร้อมกับระบุว่า ลูกศิษย์ผู้นี้ “ได้บริจาคเงินจำนวนน้อยกว่านั้นคือราวๆ 3 ล้านหยวน ในลักษณะที่สอดคล้องกับธรรมเนียมประเพณีของชาวพุทธ” รายงานนี้ยังบอกปัดว่าไม่เป็นความจริงเช่นเดียวกับสำหรับพวกข้ออ้างที่ว่า เจ้าอาวาสหย่งซินได้โยกย้ายโอนหุ้น 80% ซึ่งท่านถืออยู่ในบริษัทจัดการทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างแห่งเส้าหลิน (Shaolin Intangible Assets Management Ltd.) ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาเพื่อกำกับดูแลกิจการในเครือจำนวนมากของวัด ให้แก่ภรรยาน้อยผู้หนึ่ง สำหรับข้อกล่าวหาที่ระบุว่าเจ้าอาวาสหย่งซินเป็นเจ้าของรถยนต์หรูหราหลายคันนั้น คณะผู้สอบสวนได้พบยานพาหนะจำนวน 15 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถยนต์อิมพอร์ต 4 คัน ซึ่งจดทะเบียนในชื่อของวัด แต่รถเหล่านี้ถูกใช้งานอย่างถูกต้องเหมาะสมโดยพระสงฆ์ในวัด เพื่อการเดินทางไปงานประชุมพบปะอย่างเป็นทางการต่างๆ

รายงานรับทราบว่า มี “ประเด็นปัญหาทางการบริหารจัดการและทางการเงินหลายประการ ซึ่งจำเป็นที่จะต้อง 'แก้ไขให้ถูกต้อง'” ทว่าไม่ได้แจกแจงรายละเอียด นอกจากนั้นรายงานยังยืนยันว่า เจ้าอาวาสหย่งซินมีทะเบียนครัวเรือน 2 ฉบับจริง และฉบับหนึ่งก็ได้ถูกยกเลิกไปแล้วภายหลังการสอบสวนครั้งนี้

ทว่าข้อความโดยองค์รวมมันกระจ่างชัดเจน เจ้าอาวาสหย่งซินไม่มีความผิดใดๆ ตามข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตาม ในแวดวงออนไลน์ ยังคงมีบางคนแสดงความสงสัยข้องใจไม่เลิกรา โดยที่มีชาวเน็ตผู้หนึ่งกล่าวถึงเจ้าอาวาสรูปนี้ว่า “ถึงยังไงก็ต้องถือว่าไม่ใช่ธรรมดาสามัญเลย”

“พระเอ็มบีเอ”

พระหย่งซินเป็นที่รู้จักเลื่องลือในเรื่องมีความสามารถพิเศษในการบ่มเพาะสร้างสายสัมพันธ์คอนเนกชั่นซึ่งถูกต้องเหมาะเจาะได้ประโยชน์ ในปี 1995 พระหนุ่มรูปนี้อยู่บนขบวนรถไฟที่กำลังมุ่งหน้าสู่กรุงปักกิ่ง ท่านก้าวเดินไปตามช่องทางเดินของตู้โบกี้โดยสาร ค่อยๆ สแกนดูใบหน้าของผู้โดยสารคนอื่นๆ ท่านกำลังมองหาเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขามณฑลเหอหนาน ซึ่งมีธุระการงานยุ่งมากจนไม่ได้ให้ท่านเข้าพบในระหว่างยังอยู่ที่มณฑล

เวลานั้นพระหย่งซินกำลังอยู่ระหว่างการวางแผนจัดพิธีเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 1,500 ปีของการก่อตั้งวัดเส้าหลิน และมุ่งมาตรปรารถนาที่จะได้รับการสนับสนุนและการแสดงความยอมรับจากทางรัฐบาล ก่อนหน้านั้นไม่นาน พระหย่งซินเพิ่งทำหน้าที่เป็นประธานของงานฟื้นฟูบูรณะอารามโบราณแห่งนี้ ภายใต้การชี้แนะของ ซือ ซิงเจิ้ง (Shi Xingzheng) เจ้าอาวาสรูปที่ 29 ของวัดเส้าหลิน และกำลังวางแผนจัดงานใหญ่เพื่ออวดโฉมสิ่งที่บูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ท่านมีความมั่นอกมั่นใจว่า ท่านสามารถที่จะขอความสนับสนุนจากทางการได้สำเร็จ เพราะเหนือสิ่งอื่นใดเลย ท่านได้ใช้เวลาในช่วงระยะ 10 ปีก่อนหน้านั้นในการทำงานอย่างใกล้ชิดกับรัฐบาลท้องถิ่นเมืองเติงเฟิง (Dengfeng) ในการโปรโมตส่งเสริมให้เมืองแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของการท่องเที่ยว ในระหว่างเวลานั้น วัดเส้าหลินซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พักอาศัยอันเงียบเชียบโดดเดี่ยวของพระสงฆ์จำนวนไม่กี่รูป ก็มีผู้มาเยี่ยมเยียนพากันหลั่งไหลทะลักทลายเข้ามา ภายหลังการออกฉายของภาพยนตร์เรื่อง “วัดเส้าหลิน” (Shaolin Temple) หนึ่งในหนังเรื่องแรกๆ ซึ่งทางจีนเป็นผู้สร้างและสามารถทำรายได้อย่างมโหฬารในระดับระหว่างประเทศ ภาพยนตร์ปี 1982 เรื่องนี้นำแสดงโดยหลี่ เหลียนเจี๋ย หรือที่รู้จักกันในระดับสากลว่า เจ็ต ลี ดารากังฟูของจีนในยุคนั้น พอถึงช่วงทศวรรษ 1990 จำนวนอาคันตุกะผู้มาเยือนก็พุ่งพรวดขึ้นไปเป็นกว่า 1 ล้านคนในแต่ละปี และหนึ่งในสามของรายรับของเมืองเติงเฟิงก็มาจากการท่องเที่ยวนี้เอง

ในฐานะที่เป็นพระหนุ่มๆ พระหย่งซินมีความตื่นเต้นมากกับโอกาสที่จะได้ขยายโปรไฟล์ของอารามเส้าหลินให้เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางขึ้นอีก และมองเห็นว่าโชคชะตาของเมืองเติงเฟิงกับวัดแห่งนี้ถูกผูกพันกันเอาไว้อย่างแยกไม่ออก ในเวลาต่อมา ท่านขยายความข้อนี้ออกไปอีก โดยระหว่างการให้สัมภาษณ์ไฉซินในปี 2015 นั้น เจ้าอาวาสหย่งซินบอกว่า “โชคชะตาของวัดเส้าหลินถูกผูกพันเชื่อมโยเอาไว้เอาโชคชะตาของประเทศชาติเสมอมา” ท่านกล่าว “ต่อเมื่อประเทศชาติกำลังไปได้ด้วยดีเท่านั้น วัดจึงจะเจริญรุ่งเรืองได้”

เมื่อพระหย่งซิน มองหาเลขาธิการพรรคผู้นั้นพบจนได้บนขบวนรถไฟในตอนบ่ายวันนั้น ทั้งสองได้สนทนากันตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมงของการเดินทาง เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของพระหย่งซิน ในการอวดโฉมป่าวประกาศให้ประวัติศาสตร์ของวัดเก่าแก่ของจีนแห่งนี้ เป็นที่ทราบที่รู้จักของประชาคมที่อยู่นอกวัดและประชาคมระหว่างประเทศ

ท่านเลขาธิการพรรคผู้นั้นมีความประทับใจและให้สัญญาที่จะสนับสนุน และจากการที่เขาเห็นดีเห็นงามด้วยแล้วเช่นนี้เอง จึงมีการจัดตั้งกลุ่มวางแผนเฉพาะกิจขึ้นมากลุ่มหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ตั้งแต่ด้านตำรวจไปจนถึงแผนกกิจการทางวัฒนธรรมและศาสนาในเมืองเติงเฟิง เมื่อขบวนรถไฟแล่นมาจนถึงกรุงปักกิ่ง พระหย่งซินก็ซื้อตั่วขากลับเดินทางกลับวัดเส้าหลินในทันที และจัดทำแผนการด้านต่างๆ ต่อไปอย่างต่อเนื่อง

ปรากฏว่าพิธีเฉลิมฉลองคราวนั้นจัดขึ้นมาเป็นเวลา 5 วัน และประสบความสำเร็จอย่างมโหฬาร เมืองเติงเฟิงพยายามกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อรับประกันว่างานนี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่น แม้กระทั่งการสั่งให้โรงแรมต่างๆ ขอให้แขกเช็กเอาต์ออกไป ถ้าหากพวกเขาไม่ได้เดินทางมาเพื่อเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลอง ภายในงานมีผู้คนรวมแล้วกว่า 100,000 คนเข้าร่วมและนักข่าวนักหนังสือพิมพ์กว่า 400 ชีวิตก็พากันรายงานข่าวเรื่องราวอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้ สิ่งหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นถึงความฉับไวไหวพริบในทางการเมืองของพระหย่งซินก็คือ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณความช่วยเหลือจากทางการที่ท่านได้รับมา พระหย่งซินได้ดูแลให้เป็นที่แน่ใจว่ามีการนำเอาแผ่นจารึกรำลึกวาระครบรอบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และการสิ้นสุดสงครามต่อต้านญี่ปุ่นผู้รุกราน (War of Resistance against Japanese Aggression ชื่ออย่างเป็นทางการที่จีนใช้เรียกสงครามต่อต้านญี่ปุ่นที่เข้าไปรุกรานจีนในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2) ไปติดตั้งแสดงเอาไว้ในจุดที่โดดเด่นเห็นกันชัดเจน

งานฉลองคราวนั้น และความสามารถอันชาญเชี่ยวของพระหนุ่มรูปนี้ในการเชื่อมโยงปะติดปะต่อความทะเยอะทะยานเพื่อมุ่งให้วัดเจริญก้าวหน้าของท่าน ให้สอดคล้องเข้ากันกับการเมืองระดับชาติได้อย่างเหมาะเหม็ง กลายเป็นการเสริมส่งฐานะของพระหย่งซินในการเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและในการเป็นผู้นำทางการเมืองในประเทศจีน ให้บังเกิดความแข็งแกร่งเหนียวแน่น และตลอดระยะเวลาที่เหลือของทศวรรษดังกล่าว พระหย่งซินก็ก้าวผงาดขึ้นต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง สามารถไต่ขึ้นไปอย่างมั่นคงคู่ขนานกันไปทั้งบันไดแห่งอำนาจทางการเมืองและบันไดแห่งอำนาจทางศาสนา

ในปี 1998 พระหย่งซินได้เป็นผู้แทนคนหนึ่งของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ (National People’s Congress) ซึ่งก็คือรัฐสภาของจีน ต่อมาในปีเดียวกันนั้นเอง ท่านได้เป็นนายกของสมาคมพุทธศาสนาแห่งมณฑลเหอหนาน (Henan Buddhist Association) ในปี 1999 เมื่อตอนที่ท่านก้าวขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินนั้น ท่านเพิ่งฉลองวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 34 ปีของท่านไปได้ไม่นานเลย

ผู้นำรัฐบาลทั้งในส่วนกลางและในท้องถิ่นต่างมีความยินดีที่จะโปรโมตส่งเสริมบุคคลทางศาสนารูปหนึ่ง ซึ่งดูมีความกระตือรือร้นที่จะโปรโมตส่งเสริมประเทศจีนในเวลาเดียวกับที่ท่านโปรโมตส่งเสริมศาสนาของท่านเอง มีเจ้าหน้าที่เมืองเติงเฟิงผู้หนึ่งที่ปัจจุบันเกษียณอายุแล้วพูดอย่างโจ่งแจ้งตรงไปตรงมายิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำ โดยบอกกับไฉซินว่าทางรัฐบาลชื่นชอบพระหย่งซิน เพราะท่าน "เชื่อฟังกระทำตามทั้งในเรื่องนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลที่เกี่ยวกับศาสนาและการพัฒนาซึ่งเกี่ยวข้องกัน อีกทั้งมีความกระตือรือร้นในการส่งเสริมสนับสนุนและให้ความร่วมมือกับงานของรัฐบาล”

สร้างเส้าหลินให้เป็นแบรนด์ระดับโลก

ตอนที่หย่งซินเข้าสู่วัดเส้าหลินครั้งแรกขณะอายุได้ 16 ปีเมื่อปี 1981 นั้น อารามที่ชำรุดทรุดโทรมแห่งนี้เป็นที่พำนักอาศัยของพระสงฆ์เพียงแค่ราวๆ 20 รูปเท่านั้น พระเหล่านี้ยังชีวิตรอดไปวันๆ ด้วยการฉันข้าวต้มข้าวโพดน้ำใสโจ๊กทั้งเป็นอาหารเช้าและอาหารเย็น ขณะที่มือกลางวันมีเพียงหมั่นโถวทำจากแป้งสาลีแค่ 2 ลูก

พระหย่งซินต้องการให้อารามมีอะไรมากขึ้นกว่านี้ หลังจากระยะเวลาแห่งการที่ศาสนาถูกควบคุมอย่างเข้มงวดกวดขัน รวมทั้งถูกกล่าวโทษฟ้องร้องอย่างเสียหายในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมจากปี 1966 ถึงปี 1976 แล้ว วัดแห่งนี้ก็ค่อยๆ ได้รับสิทธิปกครองดูแลตนเองกลับคืนมา เมื่อประเทศจีนก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการปฏิรูปและการเปิดกว้าง [1]

พระหย่งยินมีความกระตือรือร้นในการโปรโมตส่งเสริมวิชาต่างๆ ของทางวัด และมีความมั่นอกมั่นใจว่าแบรนด์เส้าหลินยังคงไม่ได้เปรอะเปื้อนมีมลทิน

สงฆ์ผู้มากด้วยความทะเยอทะยานรูปนี้ ได้รับความสนใจจากทั่วประเทศจีนในปี 1993 เมื่อท่านฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ผลิตกุนเชียงท้องถิ่นรายหนึ่ง ซึ่งกำลังทำการตลาดผลิตภัณฑ์ของตนโดยใช้นามของวัด ทั้งนี้นับตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่อง “วัดเส้าหลิน” นำแสดงโดย เจ็ต ลี (หลี่ เหลียนเจี๋ย) ออกฉายเมื่อปี 1982 แบรนด์เส้าหลินก็ถูกนำไปใช้โปรโมตผลิตภัณฑ์ต่างๆ จำนวนมาก กระทั่งรองเท้า และประตูกันขโมย ตอนแรกๆ ทางคณะผู้นำของวัดใช้ท่าทีไม่รู้ไม่เห็นกับการสร้างความตกต่ำให้แก่แบรนด์เช่นนี้ ขณะที่พวกผู้นำในแวดวงรัฐบาลก็มีท่าทียอมรับอยู่แล้วว่า นามของอารามโบราณแห่งนี้ได้กลายเป็นสมบัติของสาธารณชนไปแล้ว

ทว่าพระหย่งซินมีความเดือดร้อนขุ่นเคืองเป็นพิเศษต่อการที่สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาที่เน้นขันติธรรมการไม่ใช้ความรุนแรง ถึงขนาดที่สาวกผู้ศรัทธา (ในประเทศจีน) ยึดมั่นว่าจะต้องรับประทานอาหารเจที่ไร้เนื้อสัตว์อย่างเคร่งครัด กลับต้องกลายมาเป็นชื่อของผลิตภัณฑ์ซึ่งทำจากเศษเนื้อที่ใกล้ถูกทิ้งขว้าง ท่านจึงยื่นฟ้องร้องและก็ชนะคดีด้วย จากนั้นเป็นต้นมา เมื่อใดก็ตามที่ปรากฏการล่วงละเมิดขึ้น พระหย่งซินก็จะนำผู้ละเมิดไปขึ้นศาลมิได้ขาด

พระหย่งซินยังนำเอาอิทธิพลบารมีทางการเมืองของท่านมาใช้ในความพยายามที่จะพิทักษ์ปกป้องแบรนด์ของวัดเส้าหลินด้วย เป็นเวลา 4 ปีต่อเนื่องกันเริ่มตั้งแต่ปี 1998 ท่านได้ยื่นข้อเสนอในฐานะที่ท่านเป็นผู้แทนคนหนึ่งของสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ (รัฐสภาจีน) เพื่อให้อารามต่างๆ มีกรรมสิทธิ์ในชื่อของตนเอง รัฐบาลนั้นตกลงเห็นพ้องด้วยเพียงแค่ว่า ชื่อเต็มๆ ของสถาบันทางศาสนาต้องตกเป็นสมบัติของวัดวาอารามแห่งนั้น ทว่าพวกชื่อย่อ อย่างเช่น “เส้าหลิน” ซึ่งไม่ใช่ชื่อเต็มๆ ว่า “วัดเส้าหลิน” ยังคงไม่ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของวัด

ดังนั้นในปี 1998 พระหย่งซินได้จัดตั้งบริษัทเหอหนาน เส้าหลิน เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด (Henan Shaolin Industrial Development Co. Ltd.) ขึ้นมา กิจการแห่งนี้เองที่เป็นต้นเค้าซึ่งในเวลาต่อมาก็กลายเป็น บริษัทจัดการทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างแห่งเส้าหลิน บริษัทเหอหนาน เส้าหลิน เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม จำกัด มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านหยวน และพระหย่งซินถือหุ้นเอาไว้ 80% สำหรับหุ้นที่เหลือของบริษัทถือครองโดยพระสงฆ์ของเส้าหลินรูปอื่นๆ อีก 2 รูป ถึงแม้ว่าในพระวินัยทางศาสนาห้ามพระสงฆ์ไม่ให้เป็นเจ้าของทรัพย์สินก็ตามที

เฉียน ต้าเลี่ยง (Qian Daliang) ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทบอกกับ “ไฉซิน” ว่า การที่ต้องดำเนินการเช่นนี้ เนื่องมาจาก “ความจำเป็นทางกฎหมาย” ทั้งนี้หลังจากที่ใช้ความพยายามมาแล้ว 2 ครั้งในการจดทะเบียนบริษัทโดยใช้ชื่อวัดเองเป็นตัวแทนทางกฏหมาย คราวแรกให้วัดถือหุ้นทั้ง 100% และครั้งที่ 2 ให้ถือ 80% แต่ก็ประสบความล้มเหลวทั้ง 2 คราว จึงได้มีการตัดสินใจกันว่าต้องให้พระแต่ละรูปใช้ชื่อของตนเป็นผู้ถือหุ้นแทนทางวัด

กระทั่งถึงสิ้นปี 2008 วัดเส้าหลินจึงประสบความสำเร็จในประเทศจีนในการเรียกร้องทวงกรรมสิทธิ์ชื่อวัดกลับคืนมา และได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการในฐานะแบรนด์ที่ได้รับการพิทักษ์คุ้มครองตามกฎหมาย จากสำนักงานบริหารแห่งรัฐว่าด้วยอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ (State Administration of Industry and Commerce)

สำหรับในทางระหว่างประเทศนั้น บริษัทแห่งนี้ประสบความสำเร็จในการร้องขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า 713 ฉบับตามประเทศและดินแดนต่างๆ เกือบ 100 แห่ง

ทว่าวิสัยทัศน์เกี่ยวกับแบรนด์เส้าหลินของเจ้าอาวาสหย่งซินนั้น มองไปอย่างไกลและอย่างใหญ่โตมโหฬาร ยิ่งกว่าเพียงแค่การป้องกันไม่ให้ชื่อวัดกลายเป็นชื่อของกุนเชียงเพื่อการพาณิชย์เท่านั้น ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน 1,500 ปีของอารามแห่งนี้ โดยทั่วไปแล้วท่านเจ้าอาวาสทั้งหลายมักแสดงบทบาทของพวกท่านเฉพาะภายในเขตกำแพงวัดเท่านั้น ทว่าสำหรับเจ้าอาวาสหย่งซินแล้ว ท่านไม่เพียงแต่ก้าวออกไปเผชิญภัยข้างนอกอารามเท่านั้น แต่ทานยังนำเอาวัดของท่านและแบรนด์ของกังฟูแบบพุทธอันโดดเด่นออกไปกับท่านด้วย

เส้าหลินกลายเป็นวัดพุทธศาสนาแห่งแรกในประเทศจีนที่จัดตั้งเว็บไซต์, ยื่นฟ้องร้องเป็นคดีความ, และพัฒนาสถานที่ในต่างแดนขึ้นมาหลายๆ แห่ง

ในปี 2001 วัดเส้าหลินนอกประเทศแห่งแรกจัดตั้งขึ้นในเยอรมนี ก่อนหน้าสถาบันขงจื๊อ (Confucius Institute) ซึ่งหนุนหลังโดยรัฐบาล จะไปเปิดสาขาแห่งแรกในต่างแดนถึง 4 ปี ทั้งนี้ตามข้อมูลในวัสดุอุปกรณ์โปรโมชั่นของทางวัด ปัจจุบันมีศูนย์วัฒนธรรมที่เป็นเครือข่ายของทางอารามเส้าหลินมากกว่า 40 แห่งในทั่วโลก โดยที่มีลูกศิษย์กว่า 300 ท่านทำหน้าที่สอนกังฟูและพุทธศาสนานิกายฌาน

ในปี 2006 ทางวัดจับมือกับบริษัทมีเดียในเมืองเซินเจิ้นแห่งหนึ่ง ผลิตรายการ “กังฟู สตาร์” (Kung Fu Star) ที่เป็นรายการแข่งขันในสไตล์อเมริกันไอดอล ปีเดียวกันนั้น ทางอารามได้จัดซื้อพื้นที่กว้างขวาง 3,000 เอเคอร์ (7,500 ไร่) ในเมืองโชลฮาเวน (Shoalhaven) เมืองริมทะเลในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ของออสเตรเลีย เพื่อสร้างคอนเพล็กซ์ซึ่งมีทั้งส่วนที่เป็นวัด และโรงแรมระดับหรู ตลอดจนสนามกอล์ฟ

เจ้าอาวาสหย่งซินยังติดอาวุธตนเองด้วยปริญญาโทเอ็มบีเอ ในฐานะที่เป็นสถาปนิกของพลังผลักดันแห่งการขยับขยายอันใหญ่โตยิ่งนี้ และในขณะที่อิทธิพลบารมีของท่านและอารามของท่านเติบโตขึ้นทุกที รัฐบาลส่วนกลางของจีนก็มองเห็นและจับตาความสามารถของเจ้าอาวาสหย่งซินในการโปรโมตส่งเสริมอำนาจละมุน (soft power) ของจีนในต่างแดน ท่านได้กลายเป็นเอกอัครราชทูตจีนด้านวัฒนธรรมในทางพฤตินัยด้วยตัวของท่านเองทีเดียว และได้พบกับผู้นำระดับโลกหลายท่านอย่างเช่น เนลสัน แมนเดลา และวลาดิมีร์ ปูติน ตลอดจนผู้นำทางธุรกิจอย่างเช่น ทิม คุก แห่งแอปเปิล ในปี 2004 ท่านและคณะนักแสดงกังฟูของท่านได้ร่วมอยู่ในคณะของ หู จิ่นเทา ประธานาธิบดีจีนขณะนั้น ในการเดินทางเยือนอเมริกาใต้ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานสารนิเทศของคณะรัฐมนตรีจีน (State Council Information Office)

เรื่องของกรรม

เจ้าอาวาสหย่งซินไม่มีอะไรที่ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเป็นผู้นำจอมทุจริตหิวกระหายอำนาจอย่างที่พวกกล่าวร้ายท่านบอกว่าท่านเป็นเอาเสียเลย พระหน้าตาแบบเทวดาเด็กๆ ในเครื่องแต่งกายพระจีนสีเหลืองท่านนี้ ดูเหมือนกับพระสังกัจจายน์อ้วนพีเบิกบานร่าเริงมากกว่า ขณะที่ภาษาจีนกลางติดสำเนียงถิ่นเดิมของท่านอย่างแน่นหนาก็ผูกพันท่านเอาไว้กับพื้นเพความเป็นมาอันแสนธรรมดา

ทว่าท่านก็ถูกประท้วงจากสื่ออยู่เป็นประจำว่ามีไลฟ์สไตล์แบบฟุ่มเฟือยหรูหราที่ไม่เหมาะกับพระสงฆ์ ทั้งนี้ก็รวมถึงการยอมรับรถโฟล์กสวาเกน เอสยูวี มูลค่าคันละ 125,000 ดอลลาร์ ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นเมืองเติงเฟิง (Dengfeng) ถวายเป็นของขวัญเมื่อปี 2006 สำหรับคุณูปการของท่านต่อการท่องเที่ยว และเสื้อคลุมพระแบบจีนที่ถักทอด้วยเส้นทองคำมูลค่าชุดละ 25,000 ดอลลาร์จากผู้ผลิตผ้ายก (brocade) รายหนึ่งในเมืองหนานจิง (นานกิง)

ข่าวที่ว่าบริษัททัวร์แห่งหนึ่งซึ่งหนุนหลังโดยรัฐบาลเมืองเติงเฟิงด้วยการให้สิทธิจำหน่ายบัตรเข้าชมวัดเส้าหลิน กำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2011 ยิ่งกระตุ้นความกล้าหาญมั่นใจของพวกนักวิจารณ์เพิ่มมากขึ้นอีก พวกเขาพูดกันว่า “พระซีอีโอ” รูปนี้ถือผลประโยชน์เชิงพาณิชย์เหนือกว่าความสัตย์ซื่อต่อพระศาสนาเสียแล้ว อย่างไรก็ดี เจ้าอาวาสหย่งซินไม่ได้มีหุ้นในบริษัทแห่งนั้นเลย รวมทั้งยังคัดค้านอย่างขุนเคืองต่อความเคลื่อนไหวดังกล่าวด้วย

อันที่จริงแล้ว พระหย่งซินพบว่าตนเองตกเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดรุนแรง ไม่นานนักหลังจากเข้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาสในปี 1999 เมื่อท่านออกแรงผลักดันรัฐบาลท้องถิ่นให้รื้อถอนสะสางพื้นที่เชิงพาณิชย์โกโรโกโสที่อยู่รายล้อมอารามเส้าหลิน

ประดาเส้นทางแคบๆ ผ่านไหล่เขาที่นำไปสู่ตัววัดนั้น ต่างเต็มไปด้วยโรงเรียนสอนวิทยายุทธ์ และแผงขายของที่ระลึกซึ่งจำหน่ายข้าวของกระจุกกระจิกราคาถูกๆ แม้กระทั่งเครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่งของเหมา เจ๋อตง ยังถูกนำมาตั้งแสดงเรียกเก็บเงินจากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย นอกจากนั้นในหมู่บ้านยังถูกแต่งแต้มแทรกด้วยพวกบาร์คาราโอเกะ, โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง, และลานเล่นสเก็ตน้ำแข็งอีกแห่งหนึ่ง ดังที่ชาวบ้านแซ่จางคนหนึ่งเล่าเอาไว้ว่า “พื้นที่ใกล้ๆ วัดดูคึกคักเสียยิ่งกว่าแถวกลางเมืองเติงเฟิงเสียอีก”

“มันมีแต่ความเลอะเทอะวุ่นวายเต็มไปหมด” เจ้าอาวาสหย่งซิงบอกกับไฉซิน ระหว่างที่ท่านให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2015 ท่านเกิดความรู้สึกวิตกกังวลว่า วัดของท่าน ซึ่งถึงแม้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก แต่ก็มีพระจำพรรษาอยู่ไม่ถึง 100 รูปในตอนนั้น จะถูกกลืนกินจากกิจกรรมเชิงพาณิชย์อันบ้าคลั่งที่บริเวณนอกประตูอาราม

เจ้าอาวาสหย่งซินเรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นจัดการบังคับรื้อถอนทั้งร้านค้า, โรงเรียนสอนกังฟู, และแม้กระทั่งบ้านเรือนที่อยู่ภายในรัศมี 5 กิโลเมตรจากตัววัด เงินค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้สำหรับการรื้อถอนนี้ ซึ่งตกประมาณ 9 ล้านหยวน แบ่งกันรับผิดชอบ 3 ฝ่ายระหว่างเมืองเจิ้งโจวที่เป็นเมืองหลวงของมณฑลเหอหนาน, เมืองเติงเฟิง, และวัดเส้าหลิน งานรื้อถอนเริ่มต้นขึ้นในเดือนสิงหาคม 2000 และภายในเวลา 2 เดือน พวกโรงเรือนอาคาร “ไม่น่าดู” 273 หลังที่อยู่ใกล้ๆ อารามก็ถูกทำลายไป

ในการให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2015 เจ้าอาวาสหย่งซินพูดถึงความโกรธเกรี้ยวของประชาชนแถวนั้นและการโจมตีใส่ตัวบุคคลที่ติดตามมาว่า ช่างเหมือนกับการประณามเล่นงานกันในยุคปฏิวัติวัฒนธรรม เป็นเวลากว่า 1 เดือนภายหลังการรื้อถอน พวกที่ไม่พอใจพากันนำเอาแผ่นโปสเตอร์มาติดที่อารามเขียนข้อความบอกให้เจ้าอาวาสหย่งซินออกไปให้พ้นจากวัดเส้าหลิน ชาวบ้านผู้ขุ่นขึ้งยังมักเล่นงานประตูวัดอยู่เรื่อยๆ ยังมีบางคนขว้างหมั่นโถวบูดๆ มาที่ห้องเจ้าอาวาส

ภายหลังจากการรื้อถอนนี้เองที่เริ่มมีจดหมายฉบับแรกๆ มาถึงมีข้อความกล่าวหาว่าเจ้าอาวาสหย่งซิงไปแอบเที่ยวโสเภณีบ้างและแอบมีเมียเก็บบ้าง แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับวัดผู้หนึ่งเล่าให้ไฉซินฟัง

การคัดค้านอย่างรุนแรงของประชาชนเช่นนี้ ทำให้กิจกรรมรื้อถอนยุติลงชั่วคราว แต่เจ้าอาวาสหย่งซินยังคงมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่ผลักดันเรื่องนี้ให้คืบหน้าต่อไป เนื่องจากท่านหวั่นเกรงว่าสภาพแวดล้อมอันโกโรโกโสมีแต่จะผลักไสนักท่องเที่ยวให้หนีหาย “มีใครเขาอยากจะมาเที่ยวสถานที่สกปรกโสโครกและสับสนวุ่นวายอย่างนี้?” ท่านเขียนเอาไว้ในหนังสือบันทึกความทรงจำของท่านที่ใช้ชื่อเรื่องว่า “วัดเส้าหลินในหัวใจของข้าพเจ้า” (Shaolin Temple in My Heart)

ในปี 2003 หลังจากได้รับแรงสนับสนุนพุ่งพรวดขี้นมากจากการมาเยือนของพวกผู้นำระดับสูงในรัฐบาลส่วนกลาง การรื้อถอนและการก่อสร้างใหม่ๆ อย่างใหญ่โตในพื้นที่วัดจึงสามารถเริ่มต้นขึ้นได้ในที่สุด พวกชาวบ้านยังคงต่อต้านการถูกบังคับให้ย้ายที่อยู่ใหม่ จึงพากันฟ้องร้องรัฐบาลท้องถิ่นในศาลเทศบาล บางคนกระทั่งพยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินยาฆ่าแมลง

ทว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิปี 2005 การรื้อถอนและการบูรณะฟื้นฟูเป็นอันเสร็จสมบูรณ์ในที่สุด และสื่อท้องถิ่นก็เอ่ยปากชมว่า พื้นที่ทิวทัศน์อันสวยงาม “ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมหาศาล”

แต่หลังจากการเปิดตัวเผยโฉมพื้นที่ซึ่งได้รับการฟื้นฟูบูรณะเรียบร้อยผ่านไปได้ไม่ทันนานเลย เจ้าอาวาสหย่งซินก็พบว่าตัวท่านตกอยู่ในศูนย์กลางของความขัดแย้งอีกครั้งหนึ่งแล้ว โดยคราวนี้เมืองเติงเฟิงตัดสินใจที่จะเพิ่มราคาค่าบัตรเข้าชมพื้นที่ทิวทัศน์บนภูเขาซงซาน ซึ่งมีอารามเส้าหลินเป็นจุดดึงดูดสำคัญที่สุด จากคนละ 40 หยวนเป็น 100 หยวน ขณะที่ทางวัดจะได้รับส่วนแบ่งในรายรับจากการขายตั๋วเพิ่มขึ้นจากใบละ 8 หยวนเป็น 30 หยวน กระนั้นเจ้าอาวาสหย่งซินก็ยังคงคัดค้านการขึ้นราคาบัตรอย่างดุเดือด อันที่จริงตั้งแต่ที่ท่านเป็นสมาชิกคนหนึ่งของรัฐสภาจีนแล้ว ท่านได้เสนอกฎหมายหลายฉบับซึ่งเรียกร้องให้ลดราคาค่าเช้าชมวัดวาอารามทางศาสนา ท่านกระทั่งเห็นว่าควรให้เข้าชมฟรีๆ โดยไม่ต้องเก็บเงินด้วยซ้ำ

การทะเลาะโต้เถียงกันเกี่ยวกับราคาจำหน่ายบัตรได้สร้างความขึงตึงให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับรัฐบาลท้องถิ่นอยู่นานหลายปี ยิ่งเมื่อจำนวนผู้มาเยือนและรายรับขยายตัวเพิ่มสูง ความตึงเครียดก็ดูยิ่งร้อนแรง สิ่งซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหุ้นส่วนที่ต่างฝ่ายต่างเป็นผู้ชนะ ได้แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจอันละเอียดอ่อนล้ำลึก –เป็นการต่อสู้ที่เจ้าอาวาสหย่งซินเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นชัด เนื่องจากเมืองเติงเฟิงต้องพึ่งพาอาศัยทางวัดมากมายเหลือเกินสำหรับการหารายรับเข้าคลัง

ในปี 2010 รัฐบาลเมืองเติงเฟิงพยายามที่จะฟื้นฟูบูรณะวัดที่อาจใช้เป็นคู่แข่งแห่งหนึ่งในบริเวณแถวนั้นซึ่งมีชื่อว่าวัดเทียนจง (Tianzhong) ที่จริงแล้วมันเป็นวัดระดับรองลงมาของอารามเส้าหลิน แต่แล้วงานฟื้นฟูบูรณะก็ต้องสะดุดหยุดลงในปี 2014 หลังจากสำนักงานบริหารแห่งรัฐว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรม (State Administration of Cultural Heritage) บอกว่า วัดแห่งนี้ “ตั้งอยู่ภายในสถานที่ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอยู่แล้ว” ซึ่งอนุญาตให้เพียงแค่ “อนุรักษ์แต่ไม่ให้ฟื้นฟูบูรณะ” เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินปฏิเสธข่าวลือที่ว่า ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้โครงการนี้ต้องยุติลง แต่ยอมรับว่าท่านเชื่อว่าการที่ทางเมืองคิดเรื่องการฟื้นฟูบูรณะนี้ขึ้นมาคือความพยายามที่จะจำกัดอิทธิพลของเส้นหลิน มีคนในท้องถิ่นหลายรายที่ไฉซินไปสัมภาษณ์ในเวลานั้น กล่าวว่าเจ้าอาวาสหย่งซินคัดค้านการก่อสร้างบูรณะโดยบอกว่าจะเป็นการทำลายเศษซากของเก่า

ลูกศิษย์ “ทรยศ”

แต่การพิพาทบาดหมางกันเหล่านี้ต้องถือว่าเป็นแค่เบาะๆ เท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการตั้งข้อกล่าวหาเยอะแยะมากมายที่ ซือ เอี้ยนลู่ นำเอามาเล่นงานอดีตอาจารย์ของท่านในปี 2015

พระเอี้ยนลู่นั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดที่สุดรูปหนึ่งของพระหย่งซินทีเดียว พระเอี้ยนลู่มีอายุอ่อนกว่าพระหย่งซินเพียงแค่ 5 ปี ท่านเติบโตขึ้นมาในครอบครัวกังฟู และเดินทางมายังเส้าหลินในปี 1985 เพื่อเรียนรู้วิทยายุทธ์สมัยโบราณเหล่านี้ ตอนที่ท่านได้บวชเป็นพระในอีก 2 ปีต่อมา พระหย่งซินได้รับมอบหมายให้เป็น “ผู้แนะนำด้านจิตวิญญาณ” ของท่าน พระเอี้ยนลู่เป็นนักวิทยายุทธ์ที่มีพรสวรรค์ โดยเป็นผู้ชนะการแข่งขันระดับนานาชาติในเมืองโตรอนโตปี 1997 ในปีเดียวกันนั้นเอง พระเอี้ยนลู่ก็ได้รับความไว้วางใจจากอารามเส้าหลินให้เปืดโรงเรียนสอนวิทยายุทธ์ขึ้น เนื่องจากทางวัดเองไม่สามารถแสดงตัวเป็นนิติบุคคลเพื่อยื่นขอใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนได้ เจ้าอาวาสหย่งซินบอกเช่นนี้กับไฉซินเมื่อครั้งการให้สัมภาษณ์คราวก่อนของท่าน ท่านระบุว่ามีการใช้เงินกว่า 15 ล้านหยวนเพื่อลงทุนในโครงการนี้ แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับวัดเส้าหลินหลายรายบอกว่า โมเดลเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา โดยจะมีการมอบหมายเงินใช้จ่ายสำหรับโครงการใหม่ๆ ให้แก่บุคคลที่ได้รับความไว้วางใจให้ดำเนินการแทนทางวัด หลังจากนั้นในทันทีที่โครงการมีกำไร ก็จะนำเงินส่งคืนวัด

การสอนกังฟูได้กลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรงดงามมาก เนื่องจากอารามเส้าหลินมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ โรงเรียนของพระเอี้ยนลู่สามารถดึงดูดนักเรียนได้เป็นจำนวนหลายหมื่นคน และกลายเป็นโรงเรียนใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในหุบเขาแถบนี้ อีกทั้งเป็นโรงเรียนสอนวิทยายุทธ์เพียงแห่งเดียวซึ่งได้รับอนุญาตให้จัดตั้งสำนักงานรับสมัครนักเรียนขึ้นภายในบริเวณวัด

แต่แล้วความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์ก็เริ่มต้นหลุดลุ่ยร้าวฉานอย่างช้าๆ เมื่อพระเอี้ยนลู่ ในฐานะอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน เริ่มขยายโรงเรียนโดยปราศจากการเกี่ยวข้องจากอารามเส้าหลิน อาณาจักรทางการศึกษาแห่งนี้ปัจจุบันมีทั้งโรงเรียนก่อนวัยเรียน 1 แห่ง, วิทยาลัยอาชีวศึกษา 1 แห่ง, โรงเรียนสำหรับฝึกการเล่นฟุตบอลโดยเฉพาะใช้ชื่อว่า “เส้าหลิน ซอคเกอร์” (Shaolin soccer) 1 แห่ง, และศูนย์ฝึกชกมวยใช้ชื่อว่า “ศูนย์ฝึกการชกมวยโฮลี่ฟิลด์” (Holyfield Boxing Training Center) ที่ตั้งตามชื่อของ อีแวนเดอร์ โฮลี่ฟิลด์ (Evander Holyfield) แชมเปี้ยนมวยรุ่นเฮฟวี่เวตระดับตำนาน

ไช่ เหลียงเหลียง (Cai Liangliang) ตัวแทนของพระเอี้ยนลู่ แสดงใบเสร็จรับเงินจำนวนหนึ่งให้ไฉซินดู ซึ่งบ่งบอกให้ทราบว่าการลงทุนแต่เริ่มแรกจากทางวัดนั้นอยู่ในรูปของเงินกู้เท่านั้นไม่ใช่การลงทุน และทางพระเอี้ยนลู่ก็ผ่อนชำระคืนให้เป็นงวดๆ พร้อมดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ เมื่อไฉซินสอบถามในการสัมภาษณ์ปี 2015 ว่า ทำไมสองฝ่ายจึงเกิดการแตกคอกัน ทั้งหมดที่เจ้าอาวาสหย่งซินกล่าวก็คือ “ซือ เอี้ยนลู่กลายเป็นคนที่ไม่มีบันยะบันยังเสียแล้ว”

คนวงในของวัดหลายรายบอกว่า มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าพระเอี้ยนลู่แต่งงานมีภรรยาแล้ว และเป็นบิดาของเด็กคนหนึ่งด้วย และทางเจ้าอาวาสหย่งซินก็หวั่นเกรงว่าเรื่องนี้จะมีผลกระทบกระเทือนขนาดไหนต่อชื่อเสียงของทางวัด และกำลังพิจารณาที่จะขอให้พระเอี้ยนลู่ถอนตัวออกไป พวกเขาบอกว่าเรื่องนี้จะมีผลอย่างมากต่อธุรกิจของพระเอี้ยนลู่ เนื่องจากท่านอาศัยชื่อเสียงในฐานะเป็นพระวัดเส้าหลินของท่านเป็นตัวดึงดูดนักเรียน

เมื่อไฉซินสอบถาม ไช่ ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์นี้เปลี่ยนไปเป็นความร้าวฉาน เขาตอบว่าเป็นเพราะเจ้าอาวาสหย่งซินเรียกร้องขอเงินทองจากอดีตลูกศิษย์ของท่านอยู่เรื่อย แต่ข้ออ้างเช่นนี้เจ้าอาวาสหย่งซินได้เคยปฏิเสธไว้ในการให้สัมภาษณ์ไฉซินปี 2015 โดยกล่าวว่า “อาตมาไม่เคยขอเงินทองจากใครแม้แต่สตางค์แดงเดียว”

ทั้งนี้ผลการสอบสวนของทางการที่ประกาศออกมา ดูเหมือนจะสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่เวอร์ชั่นบอกเล่าเหตุการณ์ของเจ้าอาวาสหย่งซิน

(ข้อเขียนนี้เก็บความจากต้นฉบับภาษาอังกฤษใน ไฉซินโกลบอล http://www.caixinglobal.com และเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

หมายเหตุผู้แปล

[1] “บลูมเบิร์กบิสซิเนสวีก” (Bloomberg Businessweek) ได้เสนอรายงานข่าวเกี่ยวกับเจ้าอาวาสหย่งซินเอาไว้เมื่อตอนที่ท่านถูกกล่าวหาและทางการสอบสวน โดยในชื่อเรื่องว่า The Rise and Fall of Shaolin’s CEO Monk เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2015 ในรายงานนี้ได้กล่าวถึงเรื่องที่พระหย่งซินมาบวชที่วัดเส้าหลิน จึงขอเก็บความนำมาเสนอ เพื่อเป็นการประกอบกับรายงานตัวหลักข้างต้น ดังต่อไปนี้:

ในปี 1981 เด็กหนุ่มวัย 16 ปีนาม หลิว อิงเฉิง (Liu Yingcheng) เดินทางมาที่วัดเส้าหลิน เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวเกษตรกรที่มณฑลอานฮุย เขามักได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระสงฆ์ในพุทธศาสนา และมีความคิดว่าพระสงฆ์นั้น “ใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องวิตกกังวลอะไร, ไปๆ มาๆ ประดุจดังเมฆดังหมอก” บิดามารดาของหลิวนั้นคัดค้านการที่เขาจะบวชเป็นพระ ดังนั้นเขาจึงรอคอยโอกาส จนกระทั่งบิดามารดาเดินทางออกจากบ้านไปหาเงิน จึงหลบหนีมาที่วัดเส้าหลิน เขาพบว่าสถานที่นี้อยู่ในสภาพสับสนวุ่นวาย ตัววัดกำลังผุพังทรุดโทรม มีเพียงพระจำพรรษอยู่แค่ราว 20 รูป ซึ่งแทบไม่มีของขบฉันเลยนอกจากข้าวต้มข้าวโพดและหมั่นโถวเปล่าๆ วัดแห่งนี้ไม่ได้มีการแต่งตั้งเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการมาเป็นเวลากว่า 300 ปีแล้ว กระนั้น หลิวก็เสาะหาจนได้เข้าพบรักษาการเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นพระชรานาม ซิงเจิ้ง (Xingzheng) ซึ่งอนุญาตให้เขาพำนักที่วัดได้ หลิวทำหน้าที่หุงหาอาหารและเลี้ยงวัว ขณะเดียวกับที่เริ่มต้นการศึกษาของเขา เขาไม่ได้เป็นนักวิทยายุทธ์ที่โดดเด่นอะไร ทว่ามีความเฉลียวฉลาด และพระซิงเจิ้งก็ชื่นชอบเขา ในพิธีที่เด็กหนุ่มผู้นี้บวชเป็นพระ รักษาการเจ้าอาวาสผู้นี้ได้ตั้งชื่อทางธรรมให้เขาว่า หย่งซิน

ในปี 1982 ภาพยนตร์เรื่อง “วัดเส้าหลิน” ที่นำแสดงโดย เจ็ต ลี ได้มาถ่ายทำในสถานที่ของวัด และหนังเรื่องนี้ก็กลายเป็นหนึ่งในหนังเรื่องแรกๆ ที่จีนสร้างและสามารถโกยรายได้มหาศาลในระดับนานาชาติ ด้วยแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์ซึ่งผูกเรื่องราวว่าเด็กชายผู้เป็นทาสคนหนึ่งได้หลบหนีมายังอารามเส้าหลินเพื่อเรียนกังฟูและไปแก้แค้นให้แก่บิดาที่เสียชีวิต ทำให้มีผู้ซึ่งปรารถนาจะเป็นพระจำนวนมากเดินทางจาริกมายังอารามแห่งนี้เพื่อขอบวช ขณะที่เด็กๆ แห่แหนกันมาจากทั่วประเทศเพื่อขอศึกษาวิทยายุทธ์ และก็มีโรงเรียนสอนเปิดขึ้นมาหลายสิบแห่ง การท่องเที่ยวพุ่งพรวดจากที่เคยมีผู้มาเยือนราวๆ 50,000 คนต่อปีเมื่อช่วงปลายทศวรรษ 1970 กลายเป็น 2.6 ล้านคนในปี 1984

พระหย่งซินเฝ้ามองการระเบิดเปรี้ยงป้างเช่นนี้ด้วยความหวั่นกลัวอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่แล้วรู้สึกตื่นเต้น โดยเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะได้เผยแพร่ศรัทธาความเชื่อในวัดเส้าหลินไปยังผู้คนวงกว้างยิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้น รัฐบาลส่วนกลางของจีนที่เคยคุ้มเข้มศาสนาอย่างกวดขันก็เริ่มต้นผ่อนคลายลง เจ้าอาวาสซิงเจิ้งได้ฉวยใช้ประโยชน์จากนโยบาย “ปฏิรูปและเปิดกว้าง” ของเติ้ง เสี่ยวผิง ในการผลักดันให้ทางวัดมีความเป็นอิสระในการดำเนินงานต่างๆ เพิ่มมากขึ้น และเดินทางอยู่บ่อยครั้งเพื่อล็อบบี้พวกเจ้าหน้าที่ทั้งที่เมืองเอกของมณฑลและที่กรุงปักกิ่ง ท่านมักพาพระหย่งซินไปด้วย จนกระทั่งเป็นที่เรียกขานกันว่าพระหย่งซิน เป็น “ไม้เท้า” สำหรับใช้ในเวลาเดิน ของเจ้าอาวาสซิงเจิ้ง

ในบันทึกความทรงจำเรื่อง “วัดเส้าหลินในหัวใจของข้าพเจ้า” (Shaolin Temple in My Heart) เจ้าอาวาสหย่งซินทบทวนความหลังถึงการเดินทางเหล่านั้นซึ่งต้องประหยัดมัธยัสถ์มาก ต้องฉันขนมปังที่พวกท่านตระเตรียมนำมาเอง และพักอาศัยในโรงอาบน้ำ ท่านได้พบกับพวกเจ้าหน้าที่และเรียนรู้ถึงความสำคัญของเส้นสายทางการเมือง เจ้าอาวาสซิงเจิ้งประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวรัฐบาลให้อนุญาตพระสงฆ์นุ่มห่มชุดพระได้อีกครั้ง รวมทั้งยินยอมให้จำหน่ายบัตรเข้าชมวัด ซึ่งเป็นตัวสร้างรายได้ให้แก่ทางอาราม

(ดูรายละเอียดได้ที่https://www.bloomberg.com/news/features/2015-12-28/the-rise-and-fall-of-shaolin-s-ceo-monk )


กำลังโหลดความคิดเห็น