เอเจนซีส์ – บิล เกตส์ (Bill Gates) ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ ขึ้นเวทีประชุมความมั่นคง มิวนิก (Munich security conference) ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประกาศเตือนภัยชาวโลกอาจตกอยู่ในความเสี่ยงภัยก่อการร้ายในรูปแบบสงครามทางชีวภาพ คาดว่าประชาชนจำนวนอย่างน้อย 30 ล้านคนต้องจบชีวิตภายในระยะเวลาไม่ถึงปี ในอีก 10 -15 ปีข้างหน้า เนื่องมาจากกลุ่มก่อการร้ายใช้ความก้าวหน้าด้านพันธุวิศวกรรมเป็นอาวุธ
หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานว่า เสียงเตือนจากเวทีประชุมความมั่นคงระดับนานาชาติ ประชุมความมั่นคงมิวนิก (Munich security conference) ประจำปี 2017 ที่ถูกจัดขึ้นในวันเสาร์18 ก.พ) จากภัยก่อการร้ายรูปแบบใหม่ที่มีศักยภาพในการคร่าชีวิตคนหลายสิบล้านนั้นออกมาจากปาก เจ้าพ่อไมโครซอฟต์ บิล เกตส์ (Bill Gates)
เกตส์ซึ่งทุ่มเทกว่า 20 ปีที่ผ่านมาในการทุ่มเงินให้การสนับสนุนการค้นคว้าและความก้าวหน้าด้านการแพทย์ระดับโลก กล่าวบนเวทีว่า “พวกเราต่างเพิกเฉยต่อความเชื่อมโยงระหว่างความมั่นคงทางการแพทย์และความมั่นคงระหว่างประเทศนั้นถือเป็นอันตรายต่อชีวิตของพวกเราเอง”
ทั้งนี้เจ้าพ่อไมโครซอฟต์ได้ทุ่มเงินมหาศาลเป็นพันล้านดอลลาร์ในการมุ่งปรับปรุงการสาธารณสุขทั่วโลก กล่าวต่อว่า “ในยุคถัดไป พวกเราอาจจะได้เห็น ภัยคุกคามด้านโรคระบาด ที่ถือกำเนิดมาจากจอคอมพิวเตอร์ของก่อการร้าย ตั้งใจในการใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม สร้างระบบไวรัสไข้ทรพิษสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา...หรือการสร้างสายพันธุ์ที่แข็งแกร่ง และมีความรุนแรงสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วของโรคธรรมดา เช่น โรคหวัด”
สื่ออังกฤษชี้ว่า ที่ผ่านมา หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯและอังกฤษต่างออกมายืนยันว่า กลุ่มก่อการร้าย IS มีความพยายามในการพัฒนาอาวุธชีวภาพขึ้นในซีเรียและอิรัก แต่อย่างไรก็ตาม หน่วยงานข่าวกรองเหล่านี้ได้เปิดเผยว่า ในขณะนี้กลุ่มก่อการร้ายยังไม่มีศักยภาพที่จะสามารถผลิตขึ้นมาได้เนื่องมาจากขาดบุคลากรที่มีความรู้ด้านนี้ รวมไปถึงห้องทดอลองทางวิทยาศาสตร์ที่มีความก้าวหน้า และต้องตั้งอยู่ในจุดที่ห่างไกลสงครามเพื่อที่การพัฒนาจะไม่ติดขัด
และในวันเสาร์(18 ก.พ) เกตส์ยังกล่าวต่อว่า “ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือจากเงื้อมือของกลุ่มก่อการร้าย นักระบาดวิทยาต่างชี้กันว่า ลินทรีย์ก่อโรคที่สามารถเคลื่อนตัวทางอากาศได้อย่างรวดเร็ว สามารถสังหารชีวิตคนได้ไม่ต่ำกว่า 30 คนภายในระยะเวลาน้อยกว่า 1 ปี และคนเหล่านั้นยังออกมาเตือนต่อว่า มีความเป็นไปได้อย่างมีเหตุผลที่จะเชื่อว่า โลกของเราจะได้เห็นสิ่งนี้ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า”
นอกจากนี้ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ยังกล่าวต่อว่า “แน่นอนมันเป็นการยากที่พวกเราทั้งหลายต้องทำใจยอมรับต่อหายนะระดับวงกว้างเช่นนี้ แต่ทว่าเชื่อหรือไม่ว่า สิ่งนี้ได้เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อไม่นานมานี้” เกตส์ชี้ และเสริมต่อว่า “ในปี 1918 มีไวรัสโรคไข้หวัดสายพันธุ์หนึ่งได้ทำให้ประชากรร่วม 50 -100 ล้านคนต้องเสียชีวิต”
เกตส์ยังได้กล่าวโยงไปถึงภัยคุกคามที่มาจากโรคระบาดระดับทั่วโลกว่า “บางทีพวกเราอาจกำลังสงสัยอยู่ว่า หายนะที่กล่าวถึงนั้นมันเป็นจริงมากน้อยเช่นใด โดยในความเป็นจริงแล้วที่มหันตภัยโรคระบาดที่มีระดับความร้ายแรงไปทั่วโลยังไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ยุคใหม่นี้ แต่พวกเราไม่ควรคิดไปว่า สิ่งนี้จะไม่เกิดในอนาคต และถึงแม้ว่าโรคระบาดที่จะเกิดขึ้น ยังไม่สามารถเป็นภัยคุกคามในระดับเช่นเดียวกับโรคหวัดที่เคยสร้างปรากฎการณ์ในปี 1918 แต่ทว่าพวกเราควรที่จะตระหนักถึงสภาวะความสับสนทางสังคมและเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นตามมา หากทว่าเชื้อโรคร้าย เช่น อีโบลาสามารถหาทางแพร่เข้าสู่เขตเมืองสำเร็จ”
และในที่ประชุมนี้ บิล เกตส์ ยังชี้ไปถึงความก้าวหน้าทางด้านไบโอเทคโนโลยี การค้นพบวัคซีนใหม่ๆ รวมไปถึงการพัฒนายารักษาโรคที่จะช่วยป้องกันไม่ให้การคุกคามทางโรคระบาดนั้นหลุดไปจากการควบคุมของมนุษย์ได้ โดยเจ้าพ่อไมโครซอฟต์ยืนยันว่า “สิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเราทุกคนต้องทำคือ การป้องกันต่อการแพร่ระบาดของโรคระบาดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ถือเป็นรูปแบบเดียวกันกับที่พวกเราเตรียมพร้อมรับมือต่อภัยคุกคามในการใช้อาวุธชีวภาพเพื่อโจมตี”
ซึ่งในการขึ้นพูดของเขา เกตส์ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญในการรับมือโรคระบาดร้ายแรงต่อผู้เข้าร่วมประชุมในวันเสาร์(18 ก.พ)ได้อย่างน่าสนใจว่า “การเตรียมพร้อมในการรับมือต่อภัยการคุกคามโรคระบาดทั่วโลกนั้น เปรียบเสมือนความสำคัญต่อการต้องรับมือภัยคุกคามทางนิวเคลียร์ และการหลีกเลี่ยงความหายนะที่เกิดจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพอากาศ ทั้งนี้การค้นคว้า ความร่วมมือ และการวางแผนอย่างรอบคอบ ล้วนแล้วแต่สามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมหาศาลที่มาจากภัยคุกคามของแต่ละรูปแบบ”
โดยสรุปเจ้าพ่อไมโครซอฟต์ต้องการให้สมาชิกประชาคมโลก มองภัยทางสาธารณสุข และการเตรียมความพร้อมรับมือเกิดขึ้นในระดับเดียวกันกับที่กองทัพเตรียมรับต่อสงครามที่กำลังจะมาถึง เพื่อที่ทุกคนจะสามารถเข้าใจรูปแบบการแพร่กระจาย การจัดการต่อความวุ่นวายต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น ที่รวมไปถึงจัดการต่อระบบสื่อสารและคมนาคมในยามคับขัน
center>