เอเอฟพี - องค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรต์วอตช์ออกมาเปิดเผยวันนี้ (20 ก.พ.) ว่า นักรบกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ไม่เพียงล่วงละเมิดทางเพศหญิงชาวยาซิดีซึ่งนับถือศาสนาคริสต์เท่านั้น แม้แต่หญิงชาวอาหรับที่นับถืออิสลามนิกายสุหนี่เหมือนกับพวกเขาก็ตกเป็นเหยื่อการทรมานและข่มขืนด้วย
ฮิวแมนไรต์วอตช์ได้ตีแผ่รายงานว่าด้วยชะตากรรมของหญิงเชลยที่ถูกพวกไอเอสกักขังหน่วงเหนี่ยว ทุบตี บังคับให้แต่งงาน และข่มขืน โดยสรุปจากคำบอกเล่าของสตรีที่สามารถหลบหนีออกจากเมืองฮาวิจาห์ (Hawijah) ในอิรัก ที่ขณะนี้ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกไอเอส
รายงานของฮิวแมนไรต์วอตช์ได้เล่าประสบการณ์ของ ฮานาน หญิงวัย 26 ปี ผู้ซึ่งสามีได้หลบหนีออกจากเมืองฮาวิจาห์ไปก่อนหน้าเธอ ส่วนตัวเธอถูกนักรบไอเอสจับกุมได้ขณะที่พยายามหนีไปพร้อมกับผู้หญิงคนอื่นๆ
นักรบไอเอสบอกกับฮานาน ว่าการที่สามีของเธอหลบหนีไปทำให้ตัวเธอเองสิ้นสภาพการเป็นมุสลิม และจะต้องแต่งงานกับผู้นำนักรบญิฮาดในท้องถิ่นคนหนึ่ง
เมื่อเธอไม่ยินยอม พวกนักรบจึงจับเธอมัดมือ เอาผ้าผูกตา ใช้แส้พลาสติกเฆี่ยนตี จากนั้นก็ข่มขืน
“ผู้ชายคนนั้นข่มขืนฉันทุกวันเป็นเวลา 1 เดือนโดยไม่ได้เอาผ้าผูกตา และยังทำต่อหน้าลูกๆ ของฉันด้วย” ฮานาน ระบุ
ฮิวแมนไรต์วอตช์ชี้ว่า การที่นักรบไอเอสข่มขืนเชลยสตรีอย่างป่าเถื่อนเป็นปัญหาที่ยังไม่ได้รับความใส่ใจมากนัก และเหยื่อก็มักจะอับอายจนไม่กล้าออกมาเล่าความจริง
“เราแทบไม่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศหญิงอาหรับสุหนี่ที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของไอเอส... หวังว่าประชาคมโลกและทางการท้องถิ่นจะพยายามให้ความช่วยเหลือเหยื่อกลุ่มนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ลามา ฟากิห์ รองผู้อำนวยการฝ่ายภูมิภาคตะวันออกกลางของ ฮิวแมนไรต์วอตช์ ระบุ
ไอเอสประกาศก่อตั้ง “รัฐคอลีฟะห์” ขึ้นบนดินแดนในอิรักและซีเรียที่พวกเขายึดไว้ตั้งแต่ปี 2014 พร้อมทั้งอ้างว่าพวกตนนั้นยึดหลักอิสลามที่บริสุทธิ์เหมือนในยุคของศาสดามูฮัมหมัด
อย่างไรก็ตาม นักรบสุหนี่กลุ่มนี้กลับข่มขืนและกักขังหน่วงเหนี่ยวหญิงชาวยาซิดีซึ่งไม่ใช่ทั้งอาหรับและมุสลิมอย่างไม่รู้สึกผิดบาป โดยอ้างว่าพวกเธอไม่ใช่ผู้ศรัทธา
ข้อมูลที่ฮิวแมนไรต์วอตช์รวบรวมมาได้บ่งชี้ว่า นักรบไอเอสมักจะใช้วิธีกล่าวหาหญิงเหล่านั้นว่าเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา หรือไม่ก็ตกจากความเป็นมุสลิมแล้ว ก่อนที่จะล่วงละเมิดพวกเธอ