xs
xsm
sm
md
lg

คอลัมน์ “นอกหน้าต่าง”: ‘จีน’ กับกรณีสังหารพี่ชายต่างมารดาของผู้นำโสมแดง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

<i>คิม จองนัม บุตรชายคนโตของอดีตผู้นำ คิม จองอิล แห่งเกาหลีเหนือ และพี่ชายต่างมารดาของ คิม จองอึน ผู้นำโสมแดงคนปัจจุบัน</i>
ผู้สังเกตการณ์หลายคนรู้สึกเหมือนมีกลิ่นทะแม่งๆ ตอนที่ทางการมาเลเซียออกข่าวต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการจับกุมผู้ต้องสงสัย 3 คนในคดีลอบสังหาร คิม จองนัม พี่ชายต่างมารดาของ คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือคนปัจจุบัน เมื่อปรากฏว่าผู้ต้องสงสัยคนแรกเป็นผู้หญิงถือพาสปอร์ตเวียดนาม คนที่สองเป็นผู้หญิงถือหนังสือเดินทางอินโดนีเซีย และอีกคนหนึ่งเป็นชายชาวมาเลเซียซึ่งเป็นแฟนของคนที่สอง

มันขัดแย้งเข้ากันไม่ได้กับการคาดเดาอย่างค่อนข้างมั่นใจกระทั่งเป็นความเชื่ออันแน่นแฟ้นของใครต่อใครที่ว่า ผู้บงการและดำเนินการเข่นฆ่าในสนามบินกัวลาลัมเปอร์คราวนี้ คือ เกาหลีเหนือ

บางคนจึงสาวโยงใยไปถึงความสัมพันธ์อันสนิทสนมเป็นพิเศษระหว่างมาเลเซียกับเกาหลีเหนือ ว่าอาจจะเป็นปัจจัยทำให้เกิดการไขว้เขวในรูปคดีได้หรือไม่ ทั้งนี้ แดนเสือเหลืองมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจมากพอดูกับโสมแดง ดังเห็นได้จากในกัวลาลัมเปอร์มีภัตตาคาร “เปียงยาง โคระยอ” เปิดทำการ ขณะที่ในหลายท้องที่ห่างไกลของมาเลเซียก็มีคนงานเหมืองและผู้ใช้แรงงานชาวเกาหลีเหนือจำนวนหนึ่งทำงานอยู่ กรุงกัวลาลัมเปอร์ยังเป็นไม่กี่เมืองในโลกซึ่งมีเที่ยวบินตรงติดต่อกับกรุงเปียงยาง และมาเลเซียเป็นหนึ่งในไม่กี่ชาติที่มีข้อตกลงกับเกาหลีเหนือให้ผู้เดินทางของแต่ละฝ่ายเข้าอีกประเทศหนึ่งได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า ในระยะไม่กี่ปีหลังๆ มานี้ แดนเสือเหลืองยังกลายเป็นสถานที่สำหรับการพูดจากันอย่างไม่เป็นทางการระหว่างวอชิงตันกับเปียงยางอีกด้วย

แต่แล้ว ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของอินโดนีเซียได้ออกมาแถลงว่า ผู้ต้องสงสัยที่เป็นหญิงชาวแดนอิเหนาให้การว่า เธอถูกหลอกใช้ โดยถูกสร้างสถานการณ์ทำให้เธอเชื่อว่าการที่เธอฉีดของเหลวใส่ใบหน้าของคิม จองนัม นั้น เป็นแค่รายการทีวี “อำกันเล่น” ไม่คิดว่าจะกลายเป็นการฆาตกรรม

จากนั้นในวันเสาร์ (18 ก.พ.) ตำรวจมาเลเซียก็เข้าจับกุมผู้ต้องสงสัยรายที่ 4 คราวนี้เป็นชายชาวเกาหลีเหนือ และแถลงในวันต่อมา (19) ว่า กำลังตามล่าชาวโสมแดงอีก 4 คน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการสังหารพี่ชายต่างมารดาของผู้นำเกาหลีเหนือ แต่ดูเหมือนว่าบุคคลเหล่านี้คงหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว

ในอีกด้านหนึ่ง มาเลเซียยังเสียงแข็งไม่ยอมรีบส่งศพของคิม จองนัม ให้แก่เกาหลีเหนือตามที่ฝ่ายนั้นเรียกร้อง รวมทั้งเดินหน้าทำการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งทำให้เอกอัครราชทูตโสมแดงประจำเคแอล แถลงอย่างโกรธเกรี้ยวกล่าวหาฝ่ายมาเลเซียว่ากำลังสมรู้ร่วมคิดกับพวกศัตรูของโสมแดง ซึ่งก็คงหมายถึงเกาหลีใต้ เพื่อใส่ร้ายป้ายสีเปียงยาง พร้อมกับระบุอย่างพาลพาโลว่าแดนเสือเหลืองดำเนินการชันสูตรพลิกศพคราวนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโสมแดงและก็ไม่มีฝ่ายเกาหลีเหนือเข้าร่วมด้วย ดังนั้นจึงขอปฏิเสธไม่ยอมรับผลใดๆ ของการชันสูตร

จึงเป็นอันว่าเกาหลีเหนือกลับมาอยู่ตรงจุดโฟกัสในฐานะผู้ถูกสงสัยน่าจะอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุคราวนี้อย่างหนีไม่รอด
<i>คิม จองนัม (ขวา) ถ่ายภาพกับ คิม จองอิล ผู้เป็นบิดา </i>
แล้วทำไมเกาหลีเหนือหรือก็คือผู้นำหนุ่ม คิม จองอึน ยังต้องจองเวรตามเข่นฆ่าพี่ชายต่างมารดากันอีก ในเมื่อหลังจากคิม จองนัมตกอับถูกเขี่ยออกจากฐานะทายาทผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อจากจองอิลผู้บิดา และจองอึนได้รับการโปรโมตขึ้นแทนที่ จองนัมก็แทบไม่ได้หือไม่ได้อือแสดงอาการต่อต้านอะไร แถมยังประกาศยอมรับว่าตนเองไม่สนใจเป็นผู้นำโสมแดง และดูพออกพอใจที่จะใช้ชีวิตสุขสบายแบบเพลย์บอย โดยปักหลักปักฐานแบบกึ่งลี้ภัยอยู่ที่เมืองมาเก๊า

คำอธิบายที่ถูกหยิบยกขึ้นมาสาธยายกันอยู่มากก็คือ เนื่องจากจองอึนเมื่อขึ้นเป็นผู้นำแล้วได้แสดงความโหดเหี้ยมแข็งกร้าวจนทำให้ฝ่ายต่างๆ เอือมระอา ทั้งนี้ภายในประเทศเขาปลดเปลี่ยนโยกย้ายและจับกุมคุมขังกระทั่งเข่นฆ่าพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งนักสังเกตการณ์ตะวันตกมองว่านี่คืออาการของคนที่ยังไม่มั่นใจว่าสามารถกุมอำนาจได้อยู่มือแล้ว และต้องคอยใช้ความหวาดกลัวมาสยบเมื่อปรากฏวี่แววว่าจะเกิดการขัดขืนต่อต้าน ขณะที่ภายนอกประเทศ เขายิ่งเดินนโยบายแบบที่ถูกประณามว่าเป็น “รัฐอันธพาล” หนักข้อกว่าสมัยบิดาของเขาเสียอีก โดยเฉพาะการเดินหน้าทดลองอาวุธนิวเคลียร์และทดสอบขีปนาวุธ ถึงแม้จะถูกนานาชาติถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติลงโทษคว่ำบาตรครั้งแล้วครั้งเล่า

ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ที่ประสงค์จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนตัวผู้นำเกาหลีเหนือกันอยู่มาก และถ้าไม่ให้การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ขยายตัวบานปลายออกไปจนอลหม่านวุ่นวายคุมไม่อยู่ ก็ต้องหาตัวบุคคลซึ่งเมื่อนำเข้ามาแทนที่แล้วจะทำให้พอคุมสถานการณ์กันได้ หนึ่งในตัวบุคคลซึ่งอาจมีคุณสมบัติเช่นนี้ได้ ก็คือ คิม จองนัม

ฝ่ายตะวันตกนั้นดูจะมีการกระพือทฤษฎีเช่นนี้ พร้อมกับโยงใยว่าประเทศที่ขบคิดพิจารณาเรื่องนี้อยู่ได้แก่จีน ทั้งนี้ปักกิ่งเป็นผู้ที่คอยดูแลอุปถัมภ์คิม จองนัมอยู่ เห็นได้จากการที่เขาเลือกใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่มาเก๊า ซึ่งเป็นเขตบริหารพิเศษของแดนมังกร ขณะที่ในอีกด้านหนึ่งปักกิ่งก็แสดงความไม่พอใจคิม จองอึนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมองว่าผู้นำหนุ่มของโสมแดงผู้นี้กำลังทำตัวเป็นอุปสรรคขัดขวางเป้าหมายต่างๆ ของจีนในคาบสมุทรเกาหลี และเป็นผู้ซึ่งทำให้จีนเกิดปัญหาหลายๆ ประการกับสหรัฐฯ อย่างไม่จำเป็น เป็นต้นว่าการที่เกาหลีเหนือยืนกรานทดสอบนิวเคลียร์และขีปนาวุธ ได้ถูกวอชิงตันและโซลใช้เป็นข้ออ้างที่จะนำเอาระบบต่อต้านขีปนาวุธ “ทาด” เข้ามาประจำการในเกาหลีใต้ โดยที่ “ทาด” ไม่ได้เป็นแค่ระบบอาวุธซึ่งสามารถยิงสกัดทำลายขีปนาวุธโสมแดงเท่านั้น แต่ระบบเรดาร์ของมันยังตรวจการณ์ไปถึงพื้นที่จำนวนมากของแดนมังกรอีกด้วย

ไม่ว่าทฤษฎีเรื่องจีนเตรียมจองนัมเอาไว้เผื่อจะให้ขึ้นแทนที่จองอึน และจึงเป็นที่มาของการที่สายลับเกาหลีเหนือต้องสังหารพี่ชายต่างมารดาของผู้นำโสมแดงกันอย่างอุกอาจในสนามบินกัวลาลัมเปอร์จะมีมูลความจริงแค่ไหนก็ตามที แต่ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนยิ่งกว่านั้นมีอยู่ว่า เวลานี้ปักกิ่งเอือมระอาและพร้อมใช้ไม้แข็งกับเปียงยางเพิ่มมากขึ้นแล้ว

เป็นต้นว่า ไม่ถึงสัปดาห์หลังจากเกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธพิสัยกลาง-ไกลแบบ “พุกกุกซอง-2” และถูกยูเอ็นประณามตามระเบียบแล้ว กระทรวงพาณิชย์ของจีนได้ออกมาแถลงในวันเสาร์ (18) ว่า จีนจะระงับการนำเข้าถ่านหินจากเกาหลีเหนือทั้งหมดเป็นเวลา 1 ปี เพื่อปฏิบัติตามมาตรการแซงก์ชันของสหประชาชาติ ทั้งนี้ เงินจากขายถ่านหินให้จีนนี้ถือเป็นรายรับในรูปเงินตราต่างประเทศที่สำคัญยิ่งรายการหนึ่งของโสมแดง

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามกันว่าปักกิ่งจะถึงขั้นบีบคั้นเปียงยางอย่างเต็มที่ ตามการเรียกร้องกดดันของคณะบริหารทรัมป์หรือไม่ นักสังเกตการณ์ทั้งหลายต่างตอบว่าไม่หรอก เพราะถ้าเล่นงานเกาหลีเหนือจนเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายหนัก คนที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดกลับน่าจะเป็นเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ซึ่งมีกองทหารประจำการอยู่ในแดนโสมขาวอยู่เกือบๆ 3 หมื่นคน

สงวน พิศาลรัศมี

กำลังโหลดความคิดเห็น