รอยเตอร์ - ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยังพร้อมที่จะสนับสนุนการสร้างสันติภาพระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ แต่ไม่ยึดติดกับแนวทางสร้าง 2 รัฐควบคู่ เจ้าหน้าที่อาวุโสทำเนียบขาวแถลงวานนี้ (14 ก.พ.)
เจ้าหน้าที่ผู้นี้ออกมาให้สัมภาษณ์เพียง 1 วันก่อนที่ ทรัมป์ จะพบกับนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอลที่ทำเนียบขาว โดยระบุว่า การสร้างสันติภาพซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดนั้น “จะมาในรูปของการมี 2 รัฐควบคู่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของทั้งสองฝ่าย หรืออาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้” และผู้นำสหรัฐฯ จะไม่พยายาม “ชี้นำ” ทางออกเรื่องนี้
การที่ ทรัมป์ ซึ่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่สนับสนุนทางออกแบบ 2 รัฐอย่างแข็งขันถือเป็นการละทิ้งจุดยืนที่รัฐบาลรีพับลิกันและเดโมแครตต่างยึดถือมานานหลายสิบปี และยังเป็นหัวใจสำคัญในการยุติความขัดแย้งระหว่างชาวยิวและปาเลสไตน์
ยิ่งไปกว่านั้น การที่สหรัฐฯ ทำเพิกเฉยไม่สนับสนุนให้ชาวปาเลสไตน์ได้มีรัฐเป็นของตนเองอาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับโลกมุสลิม รวมถึงชาติพันธมิตรอาหรับสุหนี่ซึ่งวอชิงตันยังจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือในการปราบปรามกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) และคานอำนาจของอิหร่าน
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวคนเดิมระบุว่า ทรัมป์ เล็งเห็นความมจำเป็นที่จะต้องยุติความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และได้มอบหมายให้ เจเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยคนโปรด เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการเจรจาสันติภาพ
อย่างไรก็ตาม เดวิด ฟรีดแมน ซึ่ง ทรัมป์ ได้เสนอชื่อเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงเทลอาวีฟคนใหม่ แต่ยังไม่ผ่านการรับรองจากวุฒิสภา จะยังไม่มีส่วนร่วมในการหารือระหว่าง ทรัมป์ กับ เนทันยาฮู วันนี้ (15)
ฟรีดแมน มีจุดยืนสนับสนุนการขยายนิคมชาวยิวในดินแดนปาเลสไตน์และเยรูซาเลมตะวันออก และเป็นคนหนึ่งที่ตั้งคำถามเรื่องทางออกแบบ 2 รัฐควบคู่มาโดยตลอด
ทำเนียบขาวแถลงเมื่อต้นเดือนนี้ว่า การที่อิสราเอลก่อสร้างนิคมชาวยิวใหม่หรือขยายให้กว้างขวางยิ่งขึ้นนั้น จะไม่เป็นผลดีต่อกระบวนการสร้างสันติภาพ
ถ้อยแถลงดังกล่าวถือเป็นการผ่อนจุดยืนของ ทรัมป์ ซึ่งเคยพูดไว้ขณะหาเสียงเมื่อปีที่แล้วว่า สหรัฐฯ ที่มีตนเป็นผู้นำจะยอมรับการขยายนิคมชาวยิวมากกว่ารัฐบาล บารัค โอบามา