เอเอฟพี - ทางการรัฐแคลิฟอร์เนียได้ยกเลิกคำสั่งอพยพประชาชน 200,000 คนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยเขื่อนแตกเมื่อวานนี้ (14 ก.พ.) หลังพบว่าระดับน้ำในทะเลสาบเหนือเขื่อนสูงที่สุดของสหรัฐฯ เริ่มลดลงแล้ว
สำนักงานผู้ปกครองเทศมณฑลบัตต์ประกาศยกเลิกคำสั่งอพยพเหลือเพียงการ “เตือนภัย” เท่านั้น และอนุญาตให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนปลายน้ำของเขื่อนโอโรวิลล์ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองซาคราเมนโตไปทางเหนือราว 120 กิโลเมตร เดินทางกลับบ้านได้
สำนักงานผู้ปกครองเทศมณฑลแถลงผ่านเฟซบุ๊กว่า คำสั่งอพยพถูกยกเลิกเนื่องจาก “ระดับน้ำในทะเลสาบโอโรวิลล์ที่อยู่เหนือเขื่อนเริ่มลดลง มีการตรวจสอบและซ่อมแซมทางน้ำล้นของเขื่อนโอโรวิลล์ที่แตกเป็นรูโหว่ รวมถึงพยากรณ์สภาพอากาศที่อัพเดตล่าสุด”
อย่างไรก็ตาม ประชาชนราว 188,000 คนในพื้นที่เสี่ยง “ยังต้องติดตามสถานการณ์และเตรียมพร้อมตลอดเวลา เพราะอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว” และทางการอาจสั่งอพยพอีกครั้งหากมีความจำเป็น
แม้พื้นที่ดังกล่าวจะต้องเผชิญพายุฝนอีกระลอกในช่วงวันพฤหัสบดีนี้ (16) แต่เนื่องจากอุณหภูมิจะลดลงอีก ปริมาณฝนจึงคาดว่าจะไม่มาก และไม่ทำให้น้ำในทะเลสาบเพิ่มขึ้นมากนัก
เจอร์รี บราวน์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อระดมทรัพยากรในท้องถิ่นป้องกันการพังทลายของเขื่อน และยังยื่นหนังสือถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันจันทร์ (13) เพื่อขอการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ด้วย
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่า พร้อมจะส่งทหารเข้าไปช่วยเรื่องการขนส่งทางอากาศ ปฏิบัติการช่วยชีวิตทางน้ำ การรักษาพยาบาล และที่พักพิงชั่วคราวหากได้รับการร้องขอมา
ฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงวานนี้ (14) ว่า ประธานาธิบดี ทรัมป์ ได้ติดตามสถานการณ์ของเขื่อนโอโรวิลล์อย่างใกล้ชิด และรัฐบาลกลางกำลังประสานไปยังสำนักงานจัดการภัยพิบัติฉุกเฉินและหน่วยงานอื่นๆ
เขาชี้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคราวนี้ “เป็นตัวอย่างที่ดีว่า ทำไมรัฐบาลจึงต้องผลักดันโครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน”
“เขื่อน สะพาน ถนน และท่าเรือทั่วประเทศอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมเต็มที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหายนะขึ้นอีกในอนาคต เราจะเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ของประธานาธิบดีเพื่อปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ย่ำแย่ของสหรัฐฯ”
วิศวกรตรวจพบว่า ทางน้ำล้น (สปิลล์เวย์) ของเขื่อนโอโรวิลล์แตกเป็นรูโหว่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ต้องมีการเปิดทางระบายน้ำฉุกเฉินออกจากเขื่อนเป็นครั้งแรกเมื่อวันเสาร์ (11) แต่เนื่องจากรูโหว่นี้มีการขยายตัวจนเสี่ยงที่ทางน้ำล้นอาจจะพัง และปลดปล่อยมวลน้ำมหาศาลลงสู่ชุมชนเบื้องล่างอย่างควบคุมไม่อยู่
เจ้าหน้าที่ได้ทำการปล่อยน้ำในอัตรา 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีออกจากทางน้ำล้นหลัก โดยหวังจะทำให้น้ำในทะเลสาบลดลงอย่างน้อย 15 เมตรจากระดับสูงสุด
เวลานี้น้ำในทะเลสาบโอโรวิลล์อยู่ที่ระดับ 12 ฟุตต่ำกว่าทางน้ำล้นที่พังทลาย จึงไม่มีน้ำไหลทะลักอีก และช่วยลดความเสี่ยงของการกัดเซาะ
กระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียระบุว่า ระดับน้ำในทะเลสาบค่อยๆ ลดลงประมาณ 10 เซนติเมตรต่อชั่วโมง
ทางการแคลิฟอร์เนียได้มีคำสั่งให้กองกำลังเนชันแนลการ์ด 23,000 นายเตรียมพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น
เขื่อนดินแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองโอโรวิลล์ซึ่งมีประชากรราว 16,000 คน โดยเป็นเขื่อนที่สูงที่สุดในสหรัฐฯ ด้วยความสูง 230 เมตร แซงสถิติของเขื่อนฮูเวอร์อยู่ 12 เมตร