เอเอฟพี - รองประธานาธิบดี เทเรค เอล ไอซ์ซามี แห่งเวเนซุเอลา ถูกทางการสหรัฐฯ ใส่ชื่อลงในบัญชีดำพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ เมื่อวานนี้ (13 ก.พ.)
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวหา เอล ไอซ์ซามี ว่ามีส่วนสนับสนุน ปกป้อง และควบคุมการขนส่งยาเสพติดล็อตใหญ่จากเวเนซุเอลาเข้าไปยังเม็กซิโกและสหรัฐฯ สมัยที่ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย และผู้ว่าการรัฐอารากวา (Aragua)
เอล ไอซ์ซามี วัย 42 ปี เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดี อูโก ชาเบซ มาก่อน เขาเพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา และถูกจับตาว่าจะเป็น “ทายาททางการเมือง” ของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร
สหรัฐฯ ระบุว่า เอล ไอซ์ซามี รับเงินสินบนจาก วาลิด มักเล็ด การ์เซีย พ่อค้ายาเสพติดชาวเวเนซุเอลาซึ่งขอให้เขาช่วยคุ้มกันคาราวานยาเสพติด และยังทำหน้าที่ติดต่อประสานระหว่างกลุ่มของ วาลิด การ์เซีย กับแก๊งค้ายาเสพติด ลอส เซตัส ในเม็กซิโกอีกด้วย
ซามาร์ก โฮเซ โลเปซ เบลโล นักธุรกิจชาวเวเนฯ ซึ่งมีความสนิทสนมกับ เอล ไอซ์ซามี ก็ถูกขึ้นบัญชีดำผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่เช่นกัน นอกจากนี้ บริษัท 13 แห่งของเขาใน 5 ประเทศก็ยังถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร
“โลเปซ เบลโล ถือเป็นนายหน้าคนสำคัญของ เอล ไอซ์ซามี และช่วยเหลือเรื่องการฟอกเงินที่ได้มาจากยาเสพติด” กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุ
นักการเมืองหนุ่มใหญ่จากรัฐเมริดา (Merida) ผู้นี้สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองด้วยนโยบายปราบปรามแก๊งค้ายาเสพติด และยังเป็นพันธมิตรที่ช่วยมาดูโรต่อกรกับพวกฝ่ายค้านในประเทศ
มาดูโรประกาศคำสั่งเมื่อวันที่ 31 ม.ค. มอบอำนาจพิเศษให้รองประธานาธิบดี เอล ไอซ์ซามี สามารถยึดทรัพย์และอนุมัติงบประมาณแก่คณะรัฐมนตรีได้
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยืนยันว่า มาตรการคว่ำบาตรและขึ้นบัญชีดำนี้เป็นผลมาจากการติดตามตรวจสอบนานหลายปี และไม่เกี่ยวข้องกับการที่ เอล ไอซ์ซามี ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีเวเนซุเอลา
“การประกาศขึ้นบัญชีดำครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองหรือเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องของเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติ” เจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯ แถลงต่อสื่อมวลชน
ล่าสุดยังไม่มีการยืนยันว่าวอชิงตันจะออกหมายจับ หรือขอส่งตัวทั้งคู่เป็นผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่ผู้ให้ข้อมูลยืนยันว่าสหรัฐฯ มีหลักฐานมัดตัวบุคคลทั้งสองอย่างแน่นหนา
ผลของการขึ้นบัญชีดำจะทำให้ เอล ไอซ์ซามี และ โลเปซ เบลโล ถูกอายัดทรัพย์สินในสหรัฐฯ และพลเมืองอเมริกันจะไม่สามารถทำธุรกิจกับบุคคลทั้งสอง รวมถึงบริษัท 13 แห่งที่ถูกคว่ำบาตร