รอยเตอร์/MGRออนไลน์ - รัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ ของจีน ระบุในวันพุธ (25 ม.ค.) ว่า แดนมังกรต้องการเปิดเจรจากับคณะบริหารชุดใหม่ของสหรัฐฯ เพื่อจัดการเกี่ยวกับข้อพิพาทต่างๆ ที่มีอยู่ระหว่างกัน และส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคี ทว่าต้องหารือกันบนพื้นฐานของการเคารพในผลประโยชน์แกนหลักของกันและกัน อย่างเช่น “หลักการจีนเดียว”
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ซึ่งสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันศุกร์ (20) ที่ผ่านมา ได้สร้างความหงุดหงิดขุ่นเคืองให้ปักกิ่งตั้งแต่ก่อนเข้าทำเนียบขาวด้วยซ้ำ ด้วยการแสดงความเห็นว่าสหรัฐฯอาจไม่ต้องยึดมั่นนโยบายจีนเดียวก็ได้
ทั้งนี้เนื้อหาสำคัญของหลักการนี้ก็คือการยอมรับรองว่าไต้หวันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีน โดยที่ปักกิ่งมองว่าไต้หวันคือมณฑลกบฏของตนซึ่งจะต้องนำกลับมารวมชาติกับแผ่นดินใหญ่ และหากจำเป็นก็พร้อมที่จะใช้กำลังบังคับ
ระหว่างกล่าวปราศรัยในงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติดของจีน หรือ “ตรุษจีน”ที่กำลังจะมาถึงในสุดสัปดาห์นี้ รัฐมนตรีหวังบอกว่า ทิศทางในอนาคตของสายสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ “ดึงดูดความสนใจ”
“บนพื้นฐานของการเคารพยึดมั่นในหลักการ “จีนเดียว” อย่างเคร่งครัดและเคารพในผลประโยชน์แกนกลางของกันและกัน เรากำลังตั้งความปรารถนาที่จะมีการสนทนากันกับรัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ” หวังกล่าว โดยที่ได้มีการนำคำปราศรัยนี้มาโพสต์บนเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศจีนเมื่อคืนวันอังคาร (24)
จีนมีความปรารถนาที่จะ “เพิ่มพูนความไว้วางใจซึ่งกันและกัน,โฟกัสไปที่การร่วมมือกัน, บริหารและควบคุมข้อพิพาทต่างๆ, และส่งเสริมพัฒนาการแบบมีสุขภาพดีของความสัมพันธ์จีนสหรัฐฯ เพื่อนำไปสู่ผลประโยชน์ซึ่งจะใหญ่โตกว้างขวางยิ่งขึ้นอีกของประชาชนทั้งสองฝ่าย” เขากล่าวต่อ
ในอีกด้านหนึ่ง สำนักข่าวซินหวาของทางการจีนรายงานข่าวโดยอ้างคำพูดของ ชุ่ย เทียนข่าย เอกอัครราชทูตประจำกรุงวอชิงตันซึ่งกล่าวว่า ในเวลานี้คณะบริหารทรัมป์ยังไม่ได้กำหนดนโยบายเกี่ยวกับจีนขึ้นมา ทว่าแนวโน้มใหญ่ของความร่วมมือกันระหว่างจีนกับสหรัฐฯก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหมุนกลับได้ เนื่องจากเป็น “ทางเลือกที่ถูกต้องแต่เพียงทางเดียว” ของทั้งสองประเทศ
เขาบอกอีกว่า หากจีนกับสหรัฐฯเกิดทำสงครามการค้ากันแล้ว ทั้งสองประเทศต่างก็จะได้รับความเสียหาย
“เวลานี้เศรษฐกิจโลกจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องจักรอันแข็งแรงเพื่อนำพาไปสู่การพัฒนาที่เข้มแข็งขึ้นกว่าเดิมและการเจริญเติบโตที่รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม มันเป็นความรับผิดชอบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงทอดทิ้งไปได้ของจีนกับสหรัฐฯที่จะต้องทำสิ่งนี้ แทนที่จะมามุ่งหน้าไปสู่สงครามการค้า” ชุ่ยกล่าว
ถึงแม้ทรัมป์ประกาศตัดสินใจอย่างเป็นทางการแล้ว ว่าจะออกจากการเข้าร่วมข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) แต่ชุ่ยบอกว่าจีนไม่สามารถที่จะเข้าสวมบทบาทแทนสหรัฐฯ ในการเป็นผู้นำของโลกซึ่งจะผู้กำหนดระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางด้านการค้า
“ผมคิดว่านี่เป็นความคิดที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันขึ้นมา เพราะระเบียบกฎเกณฑ์ของการค้าระหว่างประเทศนั้นเป็นสิ่งที่สหรัฐฯหรือจีนโดยลำพังไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ระเบียบกฎเกณฑ์เหล่านี้ควรสร้างขึ้นมาและใช้ปฏิบัติให้เป็นจริงโดยทุกๆ ชาติในโลก” เอกอัครราชทูตจีนบอก
ไม่เพียงเฉพาะนักการทูตคนสำคัญของแดนมังกร ทางด้านหนังสือพิมพ์เหรินหมินรึเป้า (พีเพิลส์เดลี) ปากเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็ได้แสดงความคิดเห็นเตือนทรัมป์ว่า สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีแต่จะสร้างความสูญเสียต่อทั้งสองฝ่าย
ในบทบรรณาธิการของฉบับวางจำหน่ายในต่างประเทศประจำวันพุธ (25) เหรินหมินรึเป้าบอกว่า “หากสงครามการค้าเกิดขึ้นจริงๆ จีนและสหรัฐฯ จะเสียหายด้วยกันทั้งคู่”
“ท้ายที่สุดแล้วจะไม่มีใครชนะ มีแต่จะสร้างความสูญเสียต่อทุกฝ่าย และชาติอื่นๆ ก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย โดยที่สหรัฐฯ หรือจีนก็ไม่ได้ประโยชน์เลย”
เนื่องจากจีนและสหรัฐฯ มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อห่วงโซ่อุปทานและห่วงโซ่คุณค่า ของโลก สงครามการค้าจึงมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อหลายประเทศ สื่อทรงอิทธิพลของจีนระบุ