เอพี - อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ เอช ดับเบิลยู บูช ผู้พ่อ วัย 92 ปีถูกนำตัวส่งห้องไอซียูโรงพยาบาลฮูสตัน รัฐเทกซัส เมื่อวานนี้ (18 ม.ค.) หลังพบอดีตผู้นำอเมริกันมีปัญหาระบบทางหายใจที่มาจากการล้มป่วยด้วยโรคนิวโมเนีย และในแถลงการณ์โฆษกประจำตระกูลบูชยังชี้ว่า อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 บาบารา บุช อยู่ในระหว่างการรับการรักษาพยาบาลในรัฐเทกซัสเช่นกัน อันเป็นมาตรการความปลอดภัยเบื้องต้นหลังพบปัญหาเหนื่อยง่าย และไอเกิดขึ้น
เอพีรายงานเมื่อวานนี้ (18 ม.ค.) ว่า จิม แม็กกราธ (Jim McGrath) โฆษกตระกูลบุช ออกแถลงการณ์ถึงการป่วยของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช ผู้พ่อ ว่าในวันพุธ (18) ผู้นำสหรัฐฯ ถูกนำตัวส่งเข้าห้องผู้ป่วยฉุกเฉินไอซียูอย่างเร่งด่วนที่โรงพยาบาลฮูสตัน จากปัญหาที่อดีตผู้นำสหรัฐฯ วัย 92 ปีมีปัญหาระบบทางเดินทางหายใจเนื่องมาจากปัญหาโรคนิวโมเนียก่อนหน้านี้
พบว่าก่อนหน้านี้ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จอร์จ บุช ผู้พ่อถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเนื่องมาจากมีปัญหาหายใจถี่ แม็กกราธกล่าวในช่วงต้นของวันพุธ (18) พร้อมระบุว่า อดีตผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 41 จากพรรครีพับลิกันตอบสนองต่อการรักษาด้วยดี ซึ่งในแถลงการณ์ทางอีเมลที่ส่งมายังเอพีนั้น โฆษกตระกูลบูชชี้ว่า บุชผู้พ่อถูกส่งตัวเข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลฮูสตัน เมโธดิสต์ (Houston Methodist hospital) ในวันเสาร์ (14)
“คณะแพทย์และทุกคนต่างรู้สึกยินดีมาก ซึ่งทางเราหวังว่าจะนำเขากลับบ้านได้ในไม่ช้า” รายงานจากแถลงการณ์ตระกูลบุช และในแถลงการณ์ยังชี้ต่อว่า “ผมไม่เห็นว่าจะต้องมีการพนันถึงอาการของผู้นำสหรัฐฯ” และเสริมว่า “ในขณะนี้พวกเราต่างแค่อยู่ในระหว่างการเฝ้ารอและรับทราบข่าวก็เท่านั้น”
ด้านหัวหน้าคณะทำงานของบุช ณอน เบกเกอร์ (Jean Becker) ได้เปิดเผยต่อหนังสือพิมพ์ฮูสตันครอนิเคิล และทีวีท้องถิ่น KHOU-TV ว่า “คาดว่าไม่เกิน 2 วันอดีตผู้นำสหรัฐฯ สามารถได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้”
แม็คกราธยังกล่าวผ่านแถลงการณ์ถึงอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ บาบารา บุช ว่า ในขณะนี้ได้รับการรักษาพยาบาลที่รัฐเทกซัสเช่นกัน เนื่องมาจากพบว่า อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 มีปัญหาเหนื่อยง่าย และไอ ซึ่งเมื่อต้นเดือนนี้สำนักงานบุชได้ออกแถลงการณ์ว่า ทั้งอดีตประธานาธิบดีจอร์จ เอชดับเบิลยู บุช และอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ บาบารา บุช ในวัย 70 ปี จะไม่เข้าร่วมในพิธีสาบานตนของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (20 ม.ค.) เนื่องมาจากปัญหาด้านสูงวัย และสุขภาพ