รอยเตอร์/เอเอฟพี - หลังจากว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ พูดเป็นนัยว่าจะพิจารณายกเลิกมาตรการลงโทษคว่ำบาตรต่อรัสเซีย หนังสือพิมพ์อังกฤษก็รายงานในฉบับวันอาทิตย์ (15 ม.ค.) ว่าทรัมป์กำลังวางแผนจัดการประชุมซัมมิตกับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของแดนหมีขาว ภายในระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์หลังจากเขาสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง อย่างไรก็ดี ผู้ช่วยระดับสูงของเขาออกมาปฏิเสธว่าเรื่องเร่งหารือกับผู้นำเครมลินนี้ไม่เป็นความจริง
ซันเดย์ไทมส์ ซึ่งเป็นฉบับวันอาทิตย์ของหนังสือพิมพ์ไทมส์แห่งลอนดอน รายงานไว้ในฉบับวันอาทิตย์นี้ (15) แต่มีวางจำหน่ายตั้งแต่วันเสาร์ (14) ว่า ทรัมป์วางแผนประชุมหารือกับปูตินในการเดินทางไปเยือนต่างประเทศเที่ยวแรกของเขาหลังจากสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง
ทรัมป์จะหาทาง “รีเซต” ความสัมพันธ์ระหว่างทำเนียบขาวกับวังเครมลิน โดยสถานที่ประชุมซัมมิตคราวนี้น่าจะเป็นไอซ์แลนด์ อันเป็นการเลียนแบบครั้งที่ประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน ของสหรัฐฯ พบปะกับ มิคาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำสหภาพโซเวียต ณ กรุงเรกยะวิก เมืองหลวงของไอซ์แลนด์ ในระหว่างสงครามเย็น ซันเดย์ไทมส์รายงานโดยอ้างพวกเจ้าหน้าที่สหราชอาณาจักรหลายรายที่ไม่มีการระบุชื่อ แต่หนังสือพิมพ์นี้กล่าวว่าบุคคลเหล่านี้ได้รับแจ้งเกี่ยวกับแผนการนี้
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวรอยเตอร์ติดต่อสอบถามไปยังผู้ช่วยระดับสูงของทรัมป์ 2 คน ก็ได้รับการปฏิเสธว่าข่าวนี้ไม่เป็นความจริง โดยคนหนึ่งถึงกับบอกว่า “ข่าวนี้เป็นแฟนตาซีที่จินตนาการขึ้นมา” รอยเตอร์กล่าวว่าทั้ง 2 คนนี้ต่างขอให้สงวนนาม
ทรัมป์ซึ่งจะสาบานตัวเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคมนี้ แสดงท่าทีต้องการมีความสัมพันธ์ที่อบอุ่นยิ่งขึ้นกับรัสเซีย รวมทั้งแสดงความชื่นชมในตัวปูติน
ระหว่างให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล ซึ่งนำออกตีพิมพ์เผยแพร่ในวันศุกร์ (13) ทรัมป์บอกว่าเขาเตรียมพร้อมที่จะพบปะหารือกับปูตินภายหลังที่เขาเข้ารับตำแหน่ง ทว่าไม่ได้พูดถึงวันเวลาอะไรชัดเจน
ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พูดในการให้สัมภาษณ์คราวนี้ด้วยว่า เขาจะยังคงบรรดามาตรการลงโทษคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งคณะบริหารของประธานาธิบดี บารัค โอบามา ประกาศใช้ในเดือนที่แล้ว ในข้อหาว่ามอสโกทำการโจมตีทางไซเบอร์ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะส่งอิทธิพลต่อผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯ โดยจะยังคงใช้ไป “อย่างน้อยที่สุดก็สักช่วงระยะหนึ่ง”
แต่ถ้ารัสเซียช่วยเหลือสหรัฐฯ ในเรื่องเป้าหมายสำคัญๆ เป็นต้นว่า การสู้รบกับพวกสุดโต่งหัวรุนแรงแล้ว ทรัมป์ก็แสดงท่าทีว่าจะยกเลิกมาตรการลงโทษเหล่านี้ไปทั้งหมด