เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ – สื่อสหรัฐฯรายงานว่า FBI เตรียมสอบข้อมูลลับความสัมพันธ์ระหว่างว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และมอสโกว่า ทรัมป์ถูกมอสโกแบล็กเมลในห้องเพรสซิเดนต์สวีทสุดหรูของโรงแรมริตซ์-คาร์ลตัน(Ritz-Carlton)กลางกรุงมอสโกในปี 2013 ที่มีฉากเด็ดคณะคุณโสฯแสดงลีลาน้ำพุสีทอง พร้อมแฉทนายความส่วนตัวทรัมป์ ไมเคิล โคเฮน( Michael Cohen) เข้ายุโรปเพื่อพบสายลับรัสเซียในกรุงปราก ไม่นานก่อนเลือกตั้ง ด้าน NBC NEWS เปิดเผยชื่ออดีตสายลับอังกฤษ MI6 คริสโตเฟอร์ สตีล(Christopher Steele) เป็นเจ้าของผลงานบันทึกภายใน 35 หน้า และปัจจุบันอยู่ในระหว่างการหลบหนี ที่ทำให้เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์อเมริกันวงแตก ไม่ยอมตอบคำถามสื่อ CNN กลางงานแถลงข่าวเปิดตัวครั้งแรกในวันพุธ(11 ม.ค)
สื่อมาชาเบิล(Mashable)รายงานเมื่อวานนี้(12 ม.ค)ว่า การแถลงข่าวครั้งแรกของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย ที่ผ่านมา ซึ่งเดลิเมล สื่ออังกฤษชี้ว่า เป็นการแถลงข่าวที่เกิดขึ้นในวันที่ 167 (11 ม.ค) นับตั้งแต่วันชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ
ที่พบว่าในการแถลงข่าว ดูเหมือนเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์จะหัวเสียอย่างรุนแรงจากการรายงานข่าวในวันอังคาร(10 ม.ค)โดย สื่อสหรัฐฯ CNN ถึงข้อมูลความลับฉาวที่ถูกทำขึ้นโดยหน่วยงานสายลับ ที่อ้างว่าทรัมป์ยอมทำตามความประสงค์ของรัสเซีย โดยมาชาเบิลรายงานว่า จิม อคอสตา(Jim Acosta) นักข่าวอาวุโสประจำทำเนียบขาวของ CNN พยายามตั้งคำถามในช่วงระหว่างการแถลงข่าว แต่กลับพบว่าทรัมป์กลับตวาดใส่ด้วยเสียงอันดัง พร้อมกับกล่าวหาว่า สำนักข่าว CNN ของอคอสตารายงานข่าวที่เป็นเท็จและบิดเบือน
และพบว่า อคอสตาพยายามอย่างหนักที่จะตั้งคำถาม แต่กลับถูกทรัมป์ที่ยืนบนโพเดียมแถลงข่าว ประกาศลงมาด้วยเสียงอันดังว่า “หยาบคาย” ถึงหลายครั้ง
ทั้งนี้สื่อ CNN และบัซฟีดเป็นสื่อสองสำนักที่เปิดเผยข้อมูลเอกสารลับที่ถูกเผยแพร่ภายในหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์อเมริกัน โดนัลด์ ทรัมป์ และมอสโก โดยพบว่าบัซฟีดสื่อการเมืองสหรัฐฯได้รายงานฉบับเต็มจำนวน 35 หน้าในวันพุธ(11 ม.ค)บนเว็บไซต์ของตัวเอง ถึงความสัมพันธ์ล้ำลึกระหว่างว่าที่ผู้นำสหรัฐฯคนที่ 45 และรัสเซีย โดยบัซฟีดได้ชี้ในรายงานว่า เหตุที่ต้องการเปิดเผยข้อมูลฉบับเต็ม(โดยมีเซ็นเซอร์สีดำคาดในบางแห่งสำหรับข้อมูลที่ไม่ต้องการเปิดเผย)เพื่อให้ประชาชนชาวอเมริกันใช้วิจารณญานในการตัดสินด้วยตนเองว่า ข้อมูลนี้มีความจริงมากน้อยเพียงใด
โดยจากไฟล์พีดีเอ็ฟจำนวน 35 หน้านั้นถูกพิมพ์ในกระดาษขาวเอ 4 ที่ไม่มีทั้งชื่อหน่วยงาน หรือตราประทับเป็นความลับสุดยอด หรือวันที่ โดยในหน้าแรกพบว่า หัวกระดาษระบุ “confidential/sensitive source” และบรรทัดต่อมากล่าวว่า “company intelligence report 2016/080” และบรรทัดถัดมา “US Presidential Elect: Republican Candidate Donald Trump’s Activities In Russia And Compromising Relationship With The Kremlin”
และต่อมาเป็นรายงานสรุปเป็นหัวข้อ เช่น ข้อสรุปแรกชี้ว่า “รัฐบาลรัสเซียได้ลงแรง สนับสนุน และช่วยเหลือทรัมป์เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปี เป้าหมาย ที่อ้างว่าจากการอนุญาตของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในการทำให้เกิดการแตกแยกและเป็นฝักเป็นฝ่ายในค่ายพันธมิตรชาติตะวันตก”
ส่วนในข้อสรุปที่ 3 ระบุว่า “อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองระดับสูงรัสเซีย FSB ได้ทำให้ทรัมป์สยบยอมหลังจากที่พบว่าทรัมป์ได้กระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดในกรุงมอสโก ที่เพียงพอสำหรับเป็นเหตุผลใช้ในการแบล็กเมลได้ ซึ่งอ้างอิงจากแหล่งข่าวจำนวนหนึ่งพบว่า สิ่งที่ทรัมป์กระทำในกรุงมอสโก รวมไปถึง การกระทำเกี่ยวกับด้านกิจกรรมทางเพศที่อื้อฉาวซึ่งเป็นการเตรียมการและถูกมอนิเตอร์อย่างละเอียดจากหน่วยงาน FSB”
และในหัวข้อถัดมาเป็น “รายละเอียด” ที่จากการให้ข้อมูลของแหล่งข่าวบีอ้างว่า “ “ปฎิบัติการทรัมป์” นั้นเป็นทั้งการสั่งการและสนับสนุนจากประธานาธิบดีรัสเซีย ปูติน เพื่อหวังให้เกิดความแตกแยกขึ้นในหมู่พันธมิตรชาติตะวันตกทั้งหลาย” และปิดท้ายหัวกระดาษด้วย “confidential/sensitive source”
อย่างไรก็ตาม เดลิเมลรายงานว่า เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์อเมริกัน อ้างว่า เขาไม่เคยได้รับรายงานสรุปจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯเกี่ยวกับบันทึกภายในอื้อฉาวจำนวน 35 หน้านี้แต่อย่างใด ที่ในข้อมูลมีรายละเอียดว่า ทรัมป์ได้เปิดห้องเพรสซิเดนต์สวีทสุดหรูของโรงแรมริตซ์-คาร์ลตัน(Ritz-Carlton)กลางกรุงมอสโก
โดยสื่อสหรัฐฯ ABC NEWS กูดมอร์นิง อเมริกา รายงานเมื่อวานนี้(11 ม.ค)ว่า ทรัมป์ถูกสายลับรัสเซียทำให้ต้องยอมร่วมมือด้วยในระหว่างที่เขาอยู่ในกรุงมอสโกในปี 2013 โดยสื่อ ABC NEWS ชี้ว่า เอกสารลับฉบับนี้ถูกส่งต่อให้ FBI ในเดือนสิงหาคม ล่าสุด จากนักการเมืองที่ทาง ABC NEWS ใช้ชื่อว่า “Democratic political operatives” และในภายหลังนักการเมืองที่ว่านี้ได้ส่งมอบข้อมูลนี้ต่อมาให้กับสื่อมวลชน รวมไปถึง ABC NEWS
โดยในการแถลงข่าวในวันพุธ(11 ม.ค) ทรัมป์ประกาศถามกับกองทัพผู้สื่อข่าวตรงหน้าว่า “มีใครเชื่อในเรื่องนี้ที่รายงานไปบ้าง ความจริงแล้วผมเป็นโรคกลัวเชื้อโรคอย่างหนัก” โดยทางทรัมป์อ้างเพื่อสื่อไปในทางที่ว่า ความหวาดกลัวเชื้อโรคของเขานั้นรุนแรงเกินกว่าจะสามารถกระทำการใดๆเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเพศที่โลดโผนได้ (กิจกรรมการแสดงน้ำพุทองคำโดยกลุ่มหญิงขายบริการรัสเซีย)
ซึ่งเป็นการอ้างจากรายงานลับที่ชี้ว่า รัสเซียอาจสามารถแบล็กเมลทรัมป์จากห้องเพรสซิเดนต์สวีทสุดหรูของโรงแรมริตซ์-คาร์ลตัน(Ritz-Carlton)กลางกรุงมอสโก ซึ่งเป็นห้องพักที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา และสุภาพสตรีหมายเลข 1 มิเชล โอบามา (ที่ตามเอกสารระบุว่า เป็นบุคคลที่ทรัมป์เกลียด) เคยเข้าพักในระหว่างการเยือนกรุงมอสโกอย่างเป็นทางการ และทรัมป์ได้ว่าจ้างกลุ่มหญิงโสเภณีให้ทำการแสดงลีลา “น้ำพุทองคำ” (การฉี่แบบหมู่คณะ) บนเตียงนอนที่นายและนางโอบามาเคยพัก ต่อหน้าทรัมป์ภายในห้องพักของโรงแรมที่เป็นที่รู้ดีว่า อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงาน FSB รัสเซีย ที่มีทั้งไมโครโฟนและกล้องสปายตัวจิ๋วถูกติดตั้งโดยทั่วเพื่อบันทึกทุกสิ่งที่ทางมอสโกต้องการ รายงานจากเดลิเมล
และในการรายงานของ ABC NEWS กูดมอร์นิง อเมริกา ระบุว่า หน่วยงาน FBI สหรัฐฯเตรียมเข้ามาสอบสวนบันทึกลับฉบับนี้แล้วว่ามีข้อมูลความจริงมากเพียงใด ซึ่งทาง ABC NEWS กูดมอร์นิง อเมริกา ระบุว่ารายงานฉบับนี้เป็นที่อื้อฉาวถูกส่งต่อภายในแวดวงหน่วยงานข่าวกรองต่างๆของสหรัฐฯ และได้ถูกกล่าวขวัญในสัปดาห์ที่ผ่านมาในช่วงการรายงานสรุปให้กับประธานาธิบดีโอบามา และว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ให้รับทราบ
สื่อสหรัฐฯรายงานต่อว่า นอกเหนือจากนี้พบว่า สว.รัฐแอริโซนา จอห์น แม็คเคน ได้รับรายงานข้อมูลลับฉบับนี้ด้วยเช่นกัน และได้ส่งต่อข้อมูลนี้โดยตรงไปยังผู้อำนวยการ FBI เจมส์ โคมี( James Comey) ซึ่งตัวผู้อำนวยการหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯไม่ยอมเปิดเผยในการขึ้นให้ปากคำกับสภาคองเกรสในวันอังคาร(10 ม.ค)ว่า ทาง FBI กำลังสอบสวนบันทึกลับ 35 หน้านี้หรือไม่ แต่ทว่าแหล่งข่าวระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับการรายงานสรุปชี้ว่า “เนื้อหาในบันทึกนี้มีความสำคัญมากจนไม่อาจจะมองข้ามไปได้”
ซึ่งนอกเหนือจากข้อมูลของการเดินทางไปกรุงมอสโกในปี 2013 ของทรัมป์แล้ว ในรายงานยังกล่าวถึง หนึ่งในทนายความส่วนตัวทรัมป์ ไมเคิล โคเฮน( Michael Cohen)ที่อ้างว่าพ่อตาที่เกิดในยูเครนของชายผู้นี้มีบ้านพักตากอากาศสุดหรู( dacha) ใกล้กับบ้านพักตากอากาศของปูติน
โดยในการตอบคำถามในเรื่องนี้กับ ABC NEWS โคเฮนชี้ว่า เป็นเรื่องโกหกที่น่าขบขัน และปฎิเสธว่า ไม่เป็นความจริง พร้อมกับชี้ว่า “ผมไม่คิดว่าพ่อตาของผมจะเคยมีโอกาสไปกรุงมอสโก” และกล่าวต่อว่า “ผมสงสัยว่าใครกันที่อาศัยอยู่ในบ้านพักตากอากาศหลังนั้น”
และในอีกข้อมูล ที่ได้ส่งต่อให้หน่วยงาน FBI ระบุว่า “เชื่อว่าโคเฮนพบกับบรรดาสายลับรัสเซียในกรุงปราก สาธารณรัฐเชก เดือนสิงหาคมล่าสุด”โดย โคเฮน ทนายความของทรัมป์ ได้ออกมายืนยันว่า เป็นเรื่องเท็จเช่นกัน โดยกล่าวว่า “ผมไม่เคยเหยียบแผ่นดินกรุงปรากมาก่อน และในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ผมไม่ได้อยู่ในกรุงปราก”
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวความมั่นคงสหรัฐฯได้เปิดเผยกับ ABC NEWS ว่า รายงานลับที่ว่านี้ไม่มีหลักฐานอ้างอิงประกอบ แต่ทว่าข้อกล่าวอ้างที่พบอยู่ในรายงานเป็นสิ่งที่ยากที่จะไม่สอบสวนติดตามหาความจริง
ทั้งนี้ล่าสุด NBC NEWS สื่อสหรัฐฯรายงานเปิดเผยชื่ออดีตเจ้าหน้าที่สายลับอังกฤษ MI6 ที่อยู่เบื้องหลังการจัดทำรายงานลับฉบับนี้แล้วคือ คริสโตเฟอร์ สตีล(Christopher Steele) ที่เคยทำงานอยู่ในกรุงมอสโกในช่วงปี 1990 ซึ่งเดลิเมลรายงานในวันนี้(12 ม.ค)ว่า สตีลนั้นในปัจจุบันได้หลบหนีออกจากที่พักของตัวเองในเซอร์เรย์( Surrey)แล้ว โดยฝากแมวสัตว์เลี้ยงให้เพื่อนบ้านดูแล หนีไปกบดานเพราะเกรงภัยถึงชีวิต ที่สื่ออังกฤษประเมินว่า อาจมีความเป็นไปได้ที่อดีตสายลับอังกฤษ MI6 อาจหลบหนีออกนอกประเทศ
เดลิเมลรายงานต่อว่า เป็นที่น่าสนใจว่ารายงานจำนวน 35 หน้าที่ว่านี้มีทั้งการสะกดคำผิด รวมไปถึงการอ้างที่ดูเหมือนเกินเลยจากความจริง ในขณะที่ผู้จัดทำ สตีล วัย 52 ปีที่ปัจจุบันทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านข่าวกรองบริษัทเอกชน และในอดีตเคยทำงานร่วมกับ FBI สหรัฐฯในการสอบสวนคดี FIFA ฉาวมาแล้ว
ด้านคริสโตเฟอร์ เบอร์โรว์ส( Christopher Burrows) ผู้อำนวยการ Orbis Business Intelligence, Ltd.ที่สตีลทำงานอยู่ด้วย ปฎิเสธที่จะยืนยันกับสื่อวอลสตรีทเจอร์นัลว่า สำนักงานของเขาเป็นผู้จัดทำรายงานฉบับนี้ ซึ่งมีรายงานสรุป 2 หน้ากระดาษจากรายงานทั้งหมด 35 หน้าที่ทางสื่อ CNN ได้เคยรายงานอ้างอิงก่อนหน้านี้ NBC NEWS ชี้
สื่ออังกฤษรายงานต่อว่า มีรายงานว่า สตีลได้รีบออกจากบ้าน และเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวออกไปเมื่อวานนี้(11 ม.ค) และดูเหมือนว่าสตีลจะรีบออกไปด้วยความเร่งรีบเพราะไฟภายในบ้านยังเปิดสว่างอยู่ โดยแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่อังกฤษเปิดเผยว่า "เขาเกรงในความปลอดภัยของตัวเอง" และกล่าวต่อว่า "ในเวลานี้ชายผู้นี้อาจอยู่ในต่างประเทศ หรือในเซฟเฮาส์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ในขณะที่เพื่อนบ้านของสตีลให้ข้อมูลกับหนังสือพิมพ์เดลีเทเลกราฟ อังกฤษว่า “เขาฝากให้ช่วยดูแลแมวให้ เพราะเขาจะไม่อยู่บ้านเป็นเวลา 2-3 วัน”
เดลิเมลชี้ต่อว่า สตีลทำงานให้กับหน่วยงาน MI6 ในกรุงมอสโกนานเกือบ 2 ศตวรรษ และทำงานประจำสถานีปารีสเป็นที่สุดท้าย โดยแหล่งข่าวความมั่นคงอังกฤษเปิดเผยว่า สตีลยังเคยทำงานร่วมกับ อเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก(Alexander Litvinenko) อดีตสายลับสหภาพโซเวียต ที่หลบหนีมายังอังกฤษในภายหลัง แต่ถูกลอบสังหารด้วยยาพิษจนเสียชีวิตในปี 2006
โดยเมื่อคืนนี้(11 ม.ค)ภรรยาม่ายของลิตวิเนนโก มารินา( Marina) ได้เปิดเผยว่า เธอจำสตีลไม่ได้ แต่ทว่าสายลับ MI6 ของอังกฤษมักจะแฝงตัวในรูปแบบต่างๆ
แหล่งข่าวกระทรวงต่างประเทศอังกฤษได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า เซอร์ ทิม บาร์โรว์(Sir Tim Barrow) เจ้าหน้าที่ทูตระดับสูงกระทรวงต่างประเทศอังกฤษที่มีหน้าที่ในการเจรจา BREXIT ในปัจจุบันนั้น ปฎิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับการส่งมอบเอกสารลับแฉความลับของทรัมป์แต่อย่างใด
ทั้งนี้พบว่า บาร์โรว์เคยทำหน้าที่ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงมอสโก และเคยทำงานอยู่ในสำนักงานเดียวกันกับสตีลช่วงที่อดีตสหภาพโซเวียตล่มสลาย