xs
xsm
sm
md
lg

NATO ยอมรับกองกำลังสหรัฐฯ-อัฟกันสังหารพลเรือน 33 รายเพื่อ “ป้องกันตนเอง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เอเอฟพี - องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ยืนยันในวันนี้ (12 ม.ค.) ว่า กองกำลังสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถานสังหารพลเมืองอัฟกัน 33 คน “เพื่อป้องกันตนเอง” ในคุนดุซเมื่อปีที่แล้วในเหตุการณ์เพียงเหตุการณ์เดียวที่ย้ำปัญหาการบาดเจ็บล้มตายของพลเรือน หนึ่งในประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงมากที่สุดในปฏิบัติการนาน 15 ปีนี้

เหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ทหารสหรัฐฯ และทหารอัฟกันได้ร้องขอกำลังเสริมทางอากาศในขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้กับกองกำลังตอลิบานที่หลบซ่อนในบ้านของพลเรือนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดทางตอนเหนือแห่งนี้

พลเรือนชาย หญิง และเด็ก “อาจจะอยู่ภายในอาคารที่กลุ่มตอลิบานยิงปืนออกมา” รายงานระบุ ทหารสหรัฐฯ 2 นาย และหน่วยคอมมานโดของอัฟกัน 3 นายก็เสียชีวิตจากการถูกยิงด้วยเช่นกัน

การเสียชีวิตของพลเรือนจุดชนวนความโกรธเกรี้ยวในเวลานั้น โดยญาติของเหยื่อนำศพของเด็กที่เสียชีวิตสุมรวมกันในรถกระบะและเดินแห่ผ่านถนนเส้นต่างๆ ในมืองคุนดุซ

“การสืบสวนบ่งชี้อย่างเป็นที่น่าเสียใจว่าพลเรือน 33 คนถูกสังหารและอีก 27 คนได้รับบาดเจ็บ” ภารกิจ Resolute Support ในอัฟกานิสถานของนาโตระบุในถ้อยแถลง

“เพื่อป้องกันตัวเองและกองกำลังอัฟกัน กองกำลังสหรัฐฯ ได้ยิงใส่พวกตอลิบานที่ใช้บ้านของพลเรือนเป็นฐานซุ่มยิง” ถ้อยแถลงระบุ

“ไม่ว่าสภาพการณ์ดังกล่าวจะเป็นอย่างไร ผมรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์” พล.อ.จอห์น นิโคลสัน ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน กล่าว

องค์การสหประชาชาติก็เริ่มการสืบสวนด้วยเช่นกันและระบุว่าการเสียชีวิตของพลเรือน “ไม่อาจยอมรับได้” โดยผลการสืบสวนมีกำหนดการที่จะถูกเผยแพร่ในสิ้นเดือนนี้

ความสูญเสียดังกล่าวย้ำให้เห็นถึงความไม่มั่นคงมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากเมื่อเดือนตุลาคมปี 2016 กลุ่มตอลิบานบุกเมืองคุนดุซเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี ในขณะที่กองกำลังอัฟกันที่นาโตสนับสนุนพยายามยับยั้งการก่อกบฏ

การบาดเจ็บล้มตายของพลเรือนที่เกิดจากกองกำลังนาโตเป็นหนึ่งในประเด็นที่สร้างความแตกแยกมากที่สุดในสงครามปราบกบฏนาน 15 ปีนี้ และนำมาซึ่งเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากสาธารณชนและรัฐบาล

การโจมตีทางอากาศไม่ถูกเป้าหมายมีส่วนทำให้ยอดบาดเจ็บล้มตายของพลเรือนที่เกิดจากกองกำลังฝักใฝ่รัฐบาลเพิ่มขึ้น 42 เปอร์เซ็นต์เมื่อปีที่แล้วเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อ้างจากยูเอ็น


กำลังโหลดความคิดเห็น