เอเอฟพี - ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียเป็นผู้ออกคำสั่งแฮกระบบคอมพิวเตอร์และแทรกแซงสื่อในสหรัฐฯ โดยมีจุดมุ่งหมายบั่นทอนคะแนนนิยมของ ฮิลลารี คลินตัน และช่วยให้ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นฝ่ายชนะศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รายงานของหน่วยข่าวกรองอเมริกันที่เผยแพร่ต่อสาธารณชนเมื่อวานนี้ (6 ม.ค.) ระบุ
ปฏิบัติการของรัสเซียนั้นเริ่มต้นจากการทำลายชื่อเสียงของคลินตัน เพื่อลดโอกาสที่เธอจะได้เป็นประธานาธิบดี ก่อนจะหันมาสนับสนุน ทรัมป์ อย่างเต็มตัว เมื่อเล็งเห็นว่ามหาเศรษฐีจากพรรครีพับลิกันรายนี้มีโอกาสที่จะชนะได้
“เราสรุปได้ว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เป็นผู้ออกคำสั่งให้แทรกแซงการเลือกตั้งในสหรัฐฯ เมื่อปี 2016 โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ทำลายชื่อเสียงของรัฐมนตรีคลินตัน และทำลายโอกาสที่เธอจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี” รายงานจากผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุ
รายงานฉบับนี้อ้างว่า ปูตินมีความเคียดแค้นที่ถูกสหรัฐฯ ทำลายชื่อเสียง โดยใช้ “แฟ้มลับปานามา” เปิดโปงธุรกรรมทางการเงินออฟชอร์ และเรื่องที่นักกีฬาโอลิมปิกหมีขาวใช้สารกระตุ้น
ปูติน ยังแค้นใจที่ คลินตัน พูดยุยงฝ่ายค้านให้ก่อจลาจลต่อต้านรัฐบาลรัสเซียเมื่อช่วงปี 2011-2012
เอกสารฉบับนี้ยังเตือนชาติพันธมิตรของอเมริกาว่า พวกเขาเองก็อาจจะถูกรัสเซียแทรกแซงเลือกตั้งบ้างก็เป็นได้ อย่างที่ ปูติน เคยทำกับสหรัฐฯ มาแล้ว
“เราเชื่อว่ามอสโกจะนำบทเรียนที่ได้รับจากปฏิบัติการแฮกเลือกตั้งตามใบสั่งของ ปูติน ไปใช้กับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ และการเลือกตั้งในประเทศเหล่านั้น”
รายงานที่เผยแพร่ต่อสาธารณชนนี้มีความยาวเพียง 25 หน้ากระดาษ หรือไม่ถึงครึ่งของเอกสารฉบับเต็มที่ส่งให้ประธานาธิบดีบารัค โอบามา และ โดนัลด์ ทรัมป์ พิจารณาเมื่อวันพฤหัสบดี (5) และวันศุกร์ (6) ตามลำดับ ทั้งยังไม่แสดงหลักฐานยืนยันว่า ปูติน และหน่วยข่าวกรองรัสเซียร่วมมือกับวิกิลีกส์เผยแพร่อีเมลของพรรคเดโมแครตอย่างไร
รัฐบาลหมีขาวยืนกรานปฏิเสธเรื่องการแทรกแซงเลือกตั้งในสหรัฐฯ ขณะที่ ทรัมป์ ก็ยังแสดงท่าทีไม่เชื่อถือในข้อสรุปของประชาคมข่าวกรองอเมริกัน
หลังจากรับฟังรายงานสรุปจากหน่วยข่าวกรองเมื่อวานนี้ (6) ทรัมป์ ออกมายอมรับว่า การโจมตีทางไซเบอร์โดยรัสเซีย จีน หรือประเทศอื่นๆ เป็นภัยคุกคามต่อสถาบัน พรรคการเมือง และภาคธุรกิจของสหรัฐฯ แต่ยังคงปฏิเสธที่จะชี้หน้ารัสเซียว่าแทรกแซงเลือกตั้ง พร้อมยืนยันว่าการทำงานของแฮกเกอร์ไม่ได้ส่งผลใดๆ ทั้งสิ้นต่อคะแนนโหวตที่ออกมา