xs
xsm
sm
md
lg

'ปูติน'ต่อสายคุย 'ทรัมป์'ชวนปรับสัมพันธ์ สื่อจีนก็ประโคมปักกิ่ง-วอชิงตันเกี่ยวก้อยพลิกโฉมการคบค้ากัน ขณะ'โอบามา'เตือนความเป็นจริงจะปลุกให้ว่าที่ปธน.'ตื่น'

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

<i>ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย (ซ้าย) โทรศัพท์พูดคุยกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกัน (ขวา) เมื่อวันจันทร์ (14 พ.ย.) เพื่อมุ่งสานสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างประเทศทั้งสอง </i>
เอเอฟพี/รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เดินเครื่องจีบ โดนัลด์ ทรัมป์ ต่อโทรศัพท์คุยกับว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกันเมื่อคืนวันจันทร์ (14 พ.ย.) ระบุสองผู้นำเห็นพ้องกันว่าต้องปรับปรุงสายสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับมอสโกซึ่งร้าวฉานมาก ให้กลับคืนสู่ภาวะปกติ ขณะที่สื่อจีนก็ประโคมในวันอังคาร (15) ว่า การผงาดขึ้นสู่อำนาจของทรัมป์ อาจเป็นเครื่องหมายของ “การปรับเปลี่ยนโฉมหน้า” ของความสัมพันธ์ปักกิ่งกับวอชิงตันเช่นกัน ทางด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา แถลงข่าวสื่อมวลชน เตือนว่าทรัมป์จะต้องถูกสภาพความเป็นจริงปลุกให้ตื่น ถ้าพยายามปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาต่างๆ ระหว่างการหาเสียง

ทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซีย หรือ “วังเครมลิน” แถลงข่าวจากกรุงมอสโกว่า ในการหารือระหว่างปูตินกับทรัมป์เมื่อคืนวันจันทร์ตามเวลาในมอสโกนั้น ผู้นำทั้งสองยังตกลงกันด้วยว่า จะจัดเตรียมการต่างๆ เพื่อจะได้พบปะหารือแบบพบหน้ากัน

ด้านทีมงานรับมอบตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ออกคำแถลงกล่าวว่า ปูตินเป็นฝ่ายโทรศัพท์ถึงว่าที่ประมุขอเมริกัน เพื่อ “แสดงความยินดีที่เขา (ทรัมป์) มีชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์”

วังเครมลินให้รายละเอียดว่า จากการพูดคุยกัน ปูตินกับทรัมป์มองเห็น “ภาวะอันไม่น่าพึงพอใจอย่างยิ่งของความสัมพันธ์รัสเซีย-สหรัฐฯในปัจจุบัน” และ “ประกาศว่ามีความจำเป็นที่จะต้องทำงานร่วมกันอย่างกระตือรือร้นเพื่อทำให้ความสัมพันธ์นี้กลับคืนสู่ภาวะปกติ”

คำแถลงของวังเครมลินกล่าวว่า ปูตินอวยพรทรัมป์ให้ประสบความสำเร็จในการกระทำตามคำมั่นสัญญาต่างๆ ที่ให้ไว้ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง รวมทั้งประมุขแดนหมีขาวยังแสดงความพรักพร้อมที่จะ “สร้างสรรค์การสนทนาแห่งความเป็นหุ้นส่วนกันกับคณะบริหารชุดใหม่ (ของทรัมป์) บนพื้นฐานของความเสมอภาคเท่าเทียมกัน, การเคารพซึ่งกันและกัน, และการไม่เข้าแทรกแซงในกิจการภายในของแต่ละฝ่าย”

ทั้งคู่ “เห็นพ้องกันถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้ความพยายามร่วมกันในการต่อสู้กับศัตรูหมายเลขหนึ่ง ซึ่งก็คือ ลัทธิก่อการร้ายสากลและลัทธิสุดโต่งสากล” วังเครมลินบอกพร้อมกับเสริมว่า ภายในบริบทนี้ ผู้นำทั้งสองได้หารือกันถึง “ประเด็นปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการแก้ไขวิกฤตการณ์ในซีเรีย”

ส่วนในคำแถลงจากส่วนทีมงานของทรัมป์ในวอชิงตันนั้น พูดในลักษณะทั่วๆ ไปมากกว่า โดยบอกว่าผู้นำทั้งสองได้หารือถึง “ภัยคุกคามและความท้าทายต่างๆ” ซึ่งสองประเทศกำลังเผชิญอยู่ ตลอดจนประเด็นปัญหาตางๆ ทางด้านเศรษฐกิจ และ “ความสัมพันธ์อันเป็นประวัติศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซียที่สามารถสาวย้อนหลังไปได้กว่า 200 ปี”

ทรัมป์บอกกับปูตินด้วยว่า เขากำลังตั้งตารอคอยที่จะมี “ความสัมพันธ์อันเข้มแข็งและคงทนกับรัสเซียและประชาชนชาวรัสเซีย” คำแถลงของวอชิงตันบอก

ทั้งนี้ระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐฯ ปูตินแสดงท่าทีเป็นนัยว่าสนับสนุนทรัมป์ ขณะที่ตัวทรัมป์เองก็แสดงการยกยอและชมเชยผู้นำรัสเซียครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับกล่าวว่าเขามีความยินดีที่จะทำงานกับปูติน

หลายชั่วโมงก่อนหน้าที่ทรัมป์ได้พูดคุยกับปูติน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้โทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนก่อนแล้ว (ในช่วงย่างเข้าวันจันทร์ที่ 14 ตามเวลาในปักกิ่ง แต่ยังเป็นวันอาทิตย์ที่ 13 ตามเวลาวอชิงตัน) โดยที่ทางการจีนแถลงว่า สีบอกกับทรัมป์ว่า ทั้งสองประเทศของพวกเขาจำเป็นต้องร่วมมือกันอย่างไม่มีทางเลี่ยง ส่วนทีมงานของทรัมป์ก็กล่าวว่า ผู้นำทั้งสอง “ได้แสดงออกถึงความรู้สึกอันชัดเจนในการให้ความเคารพต่ออีกฝ่ายหนึ่ง”

ต่อมา โกลบอลไทมส์ หนังสือพิมพ์ในเครือของเหรินหมินรึเป้า ปากเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ระบุในบทบรรณาธิการของฉบับวันอังคาร (15) ว่า การสนทนากันระหว่างสีกับทรัมป์นั้น “มีความสมบูรณ์แบบในเชิงการทูต และหนุนเสริมการมองการณ์แง่ดีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทวิภาคีของประเทศทั้งสองในระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า”

โกลบอลไทมส์บอกว่า บารัค โอบามา ซึ่งผลักนโยบายยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ “ปักหมุด” ในเอเชีย และหวนกลับคืนมา “สร้างความสมดุลกันใหม่” โดยเพิ่มน้ำหนักแก่เอเชียมากขึ้นนั้น เป็นผู้ที่ “ได้รับผลสะเทือนอย่างลึกซึ้ง” จากทัศนะแบบยุคสงครามเย็นของพวกชนชั้นนำอเมริกัน ทว่าทัศนะความคิดเห็นของทรัมป์ “ไม่ได้ถูกจับเอาไปเป็นตัวประกันโดยพวกชนชั้นนำทางการเมืองในวอชิงตัน”

“บางทีทรัมป์อาจจะเป็นผู้นำอเมริกันคนที่จะก้าวเดินไปยาวๆ ในการปรับเปลี่ยนโฉมหน้าความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจรายสำคัญในลักษณะที่มุ่งผลทางปฏิบัติ” บทบรรณาธิการของโกลบอลไทมส์กล่าว พร้อมกับระบุว่า อุดมการณ์และประสบการณ์ของทรัมป์นั้น “เข้ากันได้ดีกับยุคใหม่”
<i>ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ แถลงข่าวที่ทำเนียบขาวในวันจันทร์ (14 พ.ย.) โดยเขาบอกว่า เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นประมุขอเมริกันคนใหม่แล้ว โดนัลด์ ทรัมป์ จะถูกสภาพความเป็นจริง “ปลุกให้ตื่น” </i>
“โอบามา” บอก “ทรัมป์” จะเจอความเป็นจริงปลุกให้ตื่น

ประธานาธิบดีโอบามาได้แถลงข่าวที่ทำเนียบขาวในวันจันทร์ (14) ก่อนหน้าเดินทางไปเยือนยุโรป โดยที่เขากล่าวเตือนว่าทรัมป์ซึ่งจะเข้ามาเป็นประมุขคนต่อไปของสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคมปีหน้า จะต้องถูกสภาพความเป็นจริงปลุกให้ตื่นอย่างรวดเร็ว ถ้าหากเขาพยายามที่จะปฏิบัติให้เป็นไปตามคำมั่นสัญญาส่วนใหญ่ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงของเขา ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งโต้เถียงอย่างกว้างขวาง

เขาบอกด้วยว่าทรัมป์จะต้องปรับเปลี่ยนความเป็นคนเจ้าอารมณ์ของตนเอง และไม่สามารถที่จะพูดจาขวานผ่าซากอย่างที่เคยกระทำในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง

โอบามาซึ่งระหว่างช่วยหาเสียงให้ฮิลลารี คลินตัน ได้เคยพูดถึงทรัมป์ว่า “ไม่เหมาะสม” ที่จะเป็นผู้นำของสหรัฐฯ กล่าวในวันจันทร์ (14) โดยใช้ท่าทีที่ข่มอารมณ์และเลือกถ้อยคำอย่างระมัดระวัง

“ไม่ว่าเขาจะนำเอาประสบการณ์อะไรหรือสมมุติฐานอะไรเข้ามาในตำแหน่งนี้ การดำรงตำแหน่งนี้เป็นวิธีหนึ่งที่จะปลุกให้คุณตื่นขึ้นมา” โอบามาบอก “มิติด้านต่างๆ ในจุดยืนของเขาหรือในความมีใจโอนเอียงของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงนั้น เขาจะพบว่าตนเองถูกทัดทานคัดง้างอย่างรวดเร็วมาก เพราะความเป็นจริงมีหนทางในการยืนกรานบอกกล่าวด้วยวิธีของมันเอง”

โอบามาได้พบปะหารือกับทรัมป์มาแล้วที่ห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาวในสัปดาห์ทีผ่านมา เพื่อเริ่มต้นการรับ-ส่งตำแหน่งประธานาธิบดี โอบามาซึ่งวาระของเขายังเหลืออยู่อีกราว 2 เดือนเศษๆ กล่าวในวันจันทร์ (14) ว่า เขาเชื่อว่าในระหว่างดำรงตำแหน่ง ทรัมป์จะเป็นผู้มุ่งผลในทางปฏิบัติ และไม่มองปัญหาต่างๆ ของประเทศจากทัศนะมุมมองทางอุดมการณ์

“มันจะมีองค์ประกอบบางอย่างในการแสดงอารมณ์ของเขา ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเขา เว้นเสียแต่เขาจะตระหนักและแก้ไขมันได้” เขาระบุ

“เพราะว่าเมื่อคุณยังเป็นผู้สมัคร ถ้าคุณพูดอะไรที่ไม่ถูกต้องและก่อให้เกิดความขัดแย้งโต้เถียงขึ้นมา มันก็จะสร้างผลกระทบน้อยกว่าที่คุณทำเช่นนั้นเมื่อคุณเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ทุกๆ คนทั่วโลกต่างให้ความใส่ใจต่อสิ่งที่คุณพูด ตลาดก็พากันเคลื่อนไหว” โอบามากล่าวต่อ

โอบามาปฏิเสธไม่พาตนเองเข้าไปในท่ามกลางการโต้เถียงขัดแย้ง สืบเนื่องจากการที่ทรัมป์ได้แต่งตั้ง สตีเฟน แบนอน เจ้าของสื่อขวาจัดซึ่งสร้างศัตรูไปทั่ว ขึ้นมาเป็นหัวหน้านักยุทธศาสตร์ของเขา โดยโอบามากล่าวว่า ไม่เป็นการถูกต้องเหมาะสมสำหรับเขาที่จะวิจารณ์การแต่งตั้งบุคคลต่างๆ ของทรัมป์

อย่างไรก็ดี โอบามาบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทรัมป์ที่จะต้องส่งสัญญาณให้เห็นว่าต้องการความสามัคคีเป็นเอกภาพ ภายหลังการรณรงค์หาเสียงที่มีการต่อสู้กันอย่างดุดัน เขากล่าวว่าคุณสมบัติทางการเมืองซึ่งเปิดทางให้ทรัมป์สามารถเอาชนะคลินตันได้ ควรที่จะถูกนำเอามาใช้เป็นอย่างดีเมื่ออยู่ในทำเนียบขาว

“ผมรู้สึกมีกำลังใจว่าจากคำแถลงในคืนวันเลือกตั้ง เกี่ยวกับความจำเป็นของการมีความสามัคคีกัน และความใส่ใจของเขาที่จะเป็นประธานาธิบดีของประชาชนทุกๆ คน” โอบามาบอก “การเลือกตั้งแบบนี้ซึ่งมีการแข่งขันอย่างดุเดือดเหลือเกินและมีการแตกแยกเหลือเกินเช่นนี้ ท่าทีเหล่านี้มีความสำคัญ”
<i>สตีเฟน แบนนอน ซีอีโอทีมรณรงค์หาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ และเป็นประธานบริหารของ “เบร็ตบาร์ต นิวส์” เว็บไซต์ข่าวอนุรักษนิยมในสหรัฐฯที่ชื่นชอบทฤษฎีสมคบคิด ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้านักยุทธศาสตร์ของทรัมป์ ทำให้มีนักวิจารณ์ออกมาวิพากษ์ติเตียนกันหนัก </i>
<i>นักเรียนที่ผละเรียนพร้อมประชาชนอื่นๆ เดินขบวนประท้วงว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เมืองซีแอตเทิล มลรัฐวอชิงตัน เมื่อวันจันทร์ (14 พ.ย.) </i>
ยังคงมีการเดินขบวนต่อต้านทรัมป์

การเดินขบวนประท้วงทรัมป์ที่คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไปเป็นสัปดาห์ที่สองในวันจันทร์ (14) โดยที่มีนักเรียนนับหมื่นคนในทั่วประเทศ พากันออกมาจากห้องเรียน และตะโกนว่าทรัมป์ไม่ใช่เป็นประธานาธิบดีของพวกเขา

โดยเฉพาะที่ลองแองเจลีส มีนักเรียนราว 4,000 คนผละเรียนออกมาประท้วงทรัมป์ ซึ่งรณรงค์หาเสียงโดยเสนอนโยบายเนรเทศผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารใดๆ และจะสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯกับเม็กซิโก

ส่วนที่เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน นักเรียนราว 5,000 คนจากโรงเรียนมัธยมประมาณ 20 แห่งพากันผละเรียน

การประท้วงล่าสุดนี้มีขึ้นในขณะที่พวกนักวิพากษ์วิจารณ์ต่างตำหนิโจมตีการที่ทรัมป์แต่งตั้ง สตีเฟน แบนนอน เจ้าของสื่อขวาจัดที่สร้างศัตรูไปทั่ว ขึ้นเป็นหัวหน้านักยุทธศาสตร์ของเขา โดยที่หลายคนแสดงความหวั่นเกรงว่าการแต่งตั้งเช่นนี้อาจหมายถึงการยกเอาขบวนการชาตินิยมผิวขาวขึ้นไปอยู่ในระดับสูงสุดของทำเนียบขาว

กำลังโหลดความคิดเห็น