(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
To understand Trump, look at Franklin D. Roosevelt
By David P. Goldman
9/11/2016
แฟรงคลิน เดลาโน รูสเวลต์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่พาประเทศผ่านพ้นยุคมหาเศรษฐกิจตกต่ำ และได้รับเลือกตั้งขึ้นดำรงตำแหน่งถึง 4 สมัย ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะเขาประสบความสำเร็จ หากแต่เป็นเพราะเขาแสดงให้เห็นถึงความพยายาม เวลานี้ชาวอเมริกันก็เลือก โดนัลด์ ทรัมป์ เนื่องจากชาวอเมริกันต้องการประธานาธิบดีที่จะทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง เพื่อทัดทานต่อต้านภาวะหมดหวังอย่างเงียบๆ ซึ่งได้สร้างความทุกข์ทรมานให้พวกเขามาตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา
หากใช้เกณฑ์วัดตามปกติธรรมดาแล้ว ประธานาธิบดีแฟรงคลิน เดลาโน รูสเวลต์ ในยุคมหาเศรษฐกิจตกต่ำ (Great Depression) ของอเมริกา ถือว่าประสบความล้มเหลว นอกเหนือจากข้อยกเว้นไม่กี่อย่างแล้ว ไม่มีอะไรที่เขากระทำได้ช่วยเหลือเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อยู่ในสภาพอัมพาตมากมายหนักหนาเลย นโยบายต่างๆ ของเขาอยู่ในอาการโซซัดโซเซจากการทดลองที่ล้มเหลวอย่างหนึ่งไปสู่การทดลองที่พังครืนอีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการควบคุมราคา, การว่าจ้างคนให้มาทำงานเพื่อให้พวกเขามีงานทำมากกว่าเน้นที่ผลทางเศรษฐกิจของงาน, การทำลายพืชผลทางการเกษตร (เพื่อดึงราคาให้สูงขึ้น) ในขณะที่กำลังเกิดภาวะอดอยาก การใช้จ่ายในระดับส่วนกลางของสหรัฐฯนั้นขยายตัวขึ้นเพียงแค่พอประมาณ และไม่สามารถชดเชยการหดตัวลงของการใช้จ่ายระดับรัฐและระดับท้องถิ่นได้
กระนั้น รูสเวลต์ก็ชนะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีถึง 4 สมัย ถือเป็นความพิเศษเฉพาะตัวเขาเท่านั้นในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา และแทบเป็นการแน่นอนว่ายุคอันต่อเนื่องยาวนานของเขานี้ ได้ช่วยยึดโยงสายใยแห่งสังคมอเมริกันเอาไว้ด้วยกัน จนกระทั่งผ่านพ้นช่วงปีแห่งความมืดมนของภาวะมหาเศรษฐกิจตกต่ำไปได้ – ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะเขาประสบความสำเร็จ หากแต่เป็นเพราะเขาแสดงให้เห็นถึงความพยายาม
เวลานี้ ชาวอเมริกันเลือก โดนัลด์ ทรัมป์ ในแบบค้านความคาดหมายของพวกสำนักทำโพลและพวกนักวิชาชีพทางการเมือง เพราะชาวอเมริกันต้องการประธานาธิบดีที่จะทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง เพื่อทัดทานต่อต้านภาวะหมดหวังอย่างเงียบๆ ซึ่งได้สร้างความทุกข์ทรมานให้พวกเขามาตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ นั้นรณรงค์หาเสียงโดยชูเรื่องการตัดลดภาษี, จุดยืนที่แข็งแรงเหนียวแน่นในเรื่องการค้า, โครงการเศรษฐกิจที่คลุมเครือกำกวมและบางครั้งก็ขัดกันเอง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เอฟดีอาร์ (แฟรงคลิน เดลาโน รูสเวลต์) ก็รณรงค์หาเสียงโดยให้คำมั่นสัญญา(ที่ไม่เวิร์กอย่างการ)จะทำให้งบประมาณเกิดความสมดุล ทรัมป์เข้าใจดีว่าต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่และตื่นตาตื่นใจขึ้นมา เขาอาจจะยังไม่ทราบว่ามันคืออะไร ทว่าผู้ออกเสียงชาวอเมริกันก็มอบหมายอาณัติให้เขาได้พยายามทำดูจนกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ
ตอนที่รูสเวลต์เข้ารับตำแหน่งในปี 1933 ในช่วงซึ่งมหาเศรษฐกิจตกต่ำดำดิ่งลึกที่สุด อัตราการว่างงานของสหรัฐฯยืนอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 25% ทว่าตัวเลข 25% ดังกล่าวต้องพิจารณาจากภูมิหลังของความคาดหมายที่ว่าประชากรชายซึ่งเป็นผู้ใหญ่ราว 9 ใน 10 คนจะทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ทั้งนี้ถ้ารัฐบาลในยุคสมัยนั้นคำนวณสิ่งที่ในปัจจุบันเรียกกันว่า “อัตราการเข้าร่วมของกำลังแรงงาน” (labor force participation rate) ออกมาแล้ว มันก็จะอยู่ที่ระดับ 65% สำหรับทุกวันนี้อัตราการเข้าร่วมของกำลังแรงงานอยู่ต่ำกว่า 63% เสียอีก แต่ที่ตัวเลขอัตราการว่างงานในปัจจุบันอยู่ที่ 5% แทนที่จะเป็นสูงกว่า 25% ก็เพราะผู้ใหญ่ชายชาวอเมริกัน 1 ใน 6 คนได้ผละออกจากกำลังแรงงานไปแล้ว รวมทั้งภาวะไม่มีงานทำแบบแอบแฝงซ่อนเงื่อนก็มีมากมายเหลือเกิน ตั้งแต่การเป็นผู้ว่างงานที่พึ่งพาอาศัยเงินกู้เพื่อการศึกษา ไปจนถึงพึ่งพาอาศัยเงินช่วยเหลือผู้พิการไร้ความสามารถ
ทรัมป์ต้องการที่จะใช้จ่ายเงินเป็นจำนวน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯไปในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน นี่หมายความถึงการจ้างงานในภาคสาธารณะที่จะเกิดขึ้นอย่างมากมายมโหฬาร และการออกพันธบัตรตราสารหนี้ของรัฐบาลกลางกันเยอะแยะมหาศาล เขาถูกต้องตรงเผ็งจริงๆ เรื่องที่อันตรายมากมายเสียยิ่งกว่าถนนและอุโมงค์ซึ่งทรุดโทรม ก็คือกำลังแรงงานที่ทรุดโทรมเสื่อมถอย ไม่มีประเทศไหนสามารถทนแบกรับไหวหรอก ในการปล่อยให้ทรัพยากรบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ของตนทุก 1 ใน 6 คนเน่าเปื่อยเหี่ยวเฉาอยู่ในความเกียจคร้าน แล้วยังคงมีหวังที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ สิ่งแรกสุดที่จะต้องทำคือนำเอาผู้คนกลับเข้ามาทำงานให้ว่องไว –อย่างเดียวกับที่รูสเวลต์ได้เคยทำด้วยการจัดตั้งสำนักงานจ้างงานภาคสาธารณะขึ้นมามากมาย
ผมนั้นมีความคิดของผมเองเกี่ยวกับสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ควรกระทำ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่จะมาพูดกันในข้อเขียนชิ้นนี้ แต่สามารถกล่าวได้ว่า ชาวอเมริกันนั้นปฏิเสธไม่ยอมรับภาวะชะงักงันและการทำงานแบบแค่ซ่อมแซมปะผุทางสังคมในช่วงสมัยของโอบามา อย่างเดียวกับที่พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมรับลัทธิรุกคืบหน้าไปทีละเล็กละน้อย (incrementalism) ของนักอนุรักษนิยมที่แค่คิดเล็กทำเล็กแบบ จอห์น แมคเคน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกันในปี 2008 และ มิตต์ รอมนีย์ ผู้ติดตามเขาไปสู่ความปราชัยอีกครั้งในปี 2012
ขณะที่พูดไม่ได้เต็มปากว่า ครั้งนี้เป็นชัยชนะของรีพับลิกัน เนื่องจากพวกที่แต่งตั้งตนเองเป็นผู้พิทักษ์อุดมการณ์รีพับลิกันนั้น ส่วนใหญ่ที่สุดให้การสนับสนุน ฮิลลารี คลินตัน หรือไม่ก็นั่งดูเฉยๆ มีรายงานว่า จอร์จ บุช ทั้งผู้พ่อและผู้ลูก ปล่อยให้บัตรเลือกตั้งประธานาธิบดีของพวกเขาว่างเปล่าไม่ได้กาเลือกใครเลย อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้มันเป็นชัยชนะของอเมริกัน เป็นชัยชนะสำหรับคุณสมบัติดีๆ ของอเมริกา ในเรื่องความกล้าเสี่ยงและความปรารถนาที่จะปรับตัว, ลองผิดลองถูก, และทำไปดุ่ยๆ แม้ยังไม่มีความชำนาญ
ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่บรรดาชาติหุ้นส่วนของอเมริกาหรือประเทศคู่แข่งของอเมริกันจะต้องรู้สึกตื่นตระหนก ถึงอย่างไรอเมริกาก็กำลังเพียงแค่แสดงความเป็นอเมริกาให้เห็นกันเท่านั้น ในหัวใจแห่งหัวใจของอเมริกาแล้ว มีความสนใจน้อยนิดเหลือเกินต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอีกฟากสมุทรหนึ่งไกลโพ้นจากชายฝั่งทะเลของตนเอง และในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ จะมีความโน้มเอียงน้อยลงที่จะเข้าไปยุ่มย่ามในต่างแดน ผมคาดหวังว่าทรัมป์จะทุ่มทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นเข้าไปในการสร้างกองทัพขึ้นมาใหม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยีการทหาร ซึ่งนี่คงเป็นสิ่งที่มอสโกและปักกิ่งอาจจะไม่ชอบ ทว่าในตัวมันเองแล้วไม่ได้เป็นลางบอกเหตุว่าจะเกิดการประจันหน้าประเภทใดๆ ขึ้นมา
ผลตอบแทนของพันธบัตรอเมริกันบางทีคงจะเพิ่มสูงขึ้น ทั้งเนื่องจากทรัมป์จะใช้จ่ายอย่างแรงเพื่อสนับสนุนการเติบโตขยายตัวของเศรษฐกิจ และทั้งเนื่องจากอัตราเติบโตที่สูงขึ้นก็ย่อมนำเอาอัตราดอกเบี้ยขยับขึ้นตามมาด้วย สำหรับค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนตัวลง และกระแสลมอันหนาวยะเยือกของภาวะเงินฝืดซึ่งได้พัดกระพือออกจากสหรัฐฯในระหว่าง 3 ปีที่ผ่านมา ก็จะลดความแรงกล้าลงไป
สาธารณชนชาวอเมริกันมอบอาณัติให้แก่ทรัมป์ เพื่อให้เขาทดลองทำบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไปอย่างน่าตื่นใจ จากมาตรการต่างๆ อันน่าผิดหวังของระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา มันเหมือนกับเป็นการเคลื่อนตัวไปในเส้นทางขรุขะภายหลังผละออกมาจากภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและการยอมแพ้ในเชิงยุทธศาสตร์ ทว่ามันก็เป็นเส้นทางแห่งการผละจากออกมา ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะเป็นสิ่งดีๆ สำหรับส่วนอื่นๆ ของโลกด้วยเช่นกัน
(เอเชียไทมส์ไม่รับผิดชอบใดๆ เกี่ยวกับความคิดเห็น, ข้อเท็จจริง, หรือเนื้อหาของสื่อใดๆ ซึ่งเสนอโดยผู้ร่วมส่งข้อเขียนมาให้)
เดวิด พี. โกลด์แมน (เกิด 27 กันยายน 1951) เป็นนักเศรษฐศาสตร์, นักวิจารณ์ดนตรี, และนักเขียนชาวอเมริกัน เขาเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดจากชุดข้อเขียนออนไลน์ของเขาในเอเชียไทมส์โดยใช้นามปากกาว่า “สเปงเกลอร์” (Spengler) ปัจจุบันเขาเป็นกรรมการบริหารคนหนึ่งของ Asia Times Holdings
To understand Trump, look at Franklin D. Roosevelt
By David P. Goldman
9/11/2016
แฟรงคลิน เดลาโน รูสเวลต์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่พาประเทศผ่านพ้นยุคมหาเศรษฐกิจตกต่ำ และได้รับเลือกตั้งขึ้นดำรงตำแหน่งถึง 4 สมัย ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะเขาประสบความสำเร็จ หากแต่เป็นเพราะเขาแสดงให้เห็นถึงความพยายาม เวลานี้ชาวอเมริกันก็เลือก โดนัลด์ ทรัมป์ เนื่องจากชาวอเมริกันต้องการประธานาธิบดีที่จะทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง เพื่อทัดทานต่อต้านภาวะหมดหวังอย่างเงียบๆ ซึ่งได้สร้างความทุกข์ทรมานให้พวกเขามาตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา
หากใช้เกณฑ์วัดตามปกติธรรมดาแล้ว ประธานาธิบดีแฟรงคลิน เดลาโน รูสเวลต์ ในยุคมหาเศรษฐกิจตกต่ำ (Great Depression) ของอเมริกา ถือว่าประสบความล้มเหลว นอกเหนือจากข้อยกเว้นไม่กี่อย่างแล้ว ไม่มีอะไรที่เขากระทำได้ช่วยเหลือเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อยู่ในสภาพอัมพาตมากมายหนักหนาเลย นโยบายต่างๆ ของเขาอยู่ในอาการโซซัดโซเซจากการทดลองที่ล้มเหลวอย่างหนึ่งไปสู่การทดลองที่พังครืนอีกอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการควบคุมราคา, การว่าจ้างคนให้มาทำงานเพื่อให้พวกเขามีงานทำมากกว่าเน้นที่ผลทางเศรษฐกิจของงาน, การทำลายพืชผลทางการเกษตร (เพื่อดึงราคาให้สูงขึ้น) ในขณะที่กำลังเกิดภาวะอดอยาก การใช้จ่ายในระดับส่วนกลางของสหรัฐฯนั้นขยายตัวขึ้นเพียงแค่พอประมาณ และไม่สามารถชดเชยการหดตัวลงของการใช้จ่ายระดับรัฐและระดับท้องถิ่นได้
กระนั้น รูสเวลต์ก็ชนะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีถึง 4 สมัย ถือเป็นความพิเศษเฉพาะตัวเขาเท่านั้นในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา และแทบเป็นการแน่นอนว่ายุคอันต่อเนื่องยาวนานของเขานี้ ได้ช่วยยึดโยงสายใยแห่งสังคมอเมริกันเอาไว้ด้วยกัน จนกระทั่งผ่านพ้นช่วงปีแห่งความมืดมนของภาวะมหาเศรษฐกิจตกต่ำไปได้ – ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะเขาประสบความสำเร็จ หากแต่เป็นเพราะเขาแสดงให้เห็นถึงความพยายาม
เวลานี้ ชาวอเมริกันเลือก โดนัลด์ ทรัมป์ ในแบบค้านความคาดหมายของพวกสำนักทำโพลและพวกนักวิชาชีพทางการเมือง เพราะชาวอเมริกันต้องการประธานาธิบดีที่จะทำอะไรบางสิ่งบางอย่าง เพื่อทัดทานต่อต้านภาวะหมดหวังอย่างเงียบๆ ซึ่งได้สร้างความทุกข์ทรมานให้พวกเขามาตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ นั้นรณรงค์หาเสียงโดยชูเรื่องการตัดลดภาษี, จุดยืนที่แข็งแรงเหนียวแน่นในเรื่องการค้า, โครงการเศรษฐกิจที่คลุมเครือกำกวมและบางครั้งก็ขัดกันเอง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เอฟดีอาร์ (แฟรงคลิน เดลาโน รูสเวลต์) ก็รณรงค์หาเสียงโดยให้คำมั่นสัญญา(ที่ไม่เวิร์กอย่างการ)จะทำให้งบประมาณเกิดความสมดุล ทรัมป์เข้าใจดีว่าต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่และตื่นตาตื่นใจขึ้นมา เขาอาจจะยังไม่ทราบว่ามันคืออะไร ทว่าผู้ออกเสียงชาวอเมริกันก็มอบหมายอาณัติให้เขาได้พยายามทำดูจนกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ
ตอนที่รูสเวลต์เข้ารับตำแหน่งในปี 1933 ในช่วงซึ่งมหาเศรษฐกิจตกต่ำดำดิ่งลึกที่สุด อัตราการว่างงานของสหรัฐฯยืนอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 25% ทว่าตัวเลข 25% ดังกล่าวต้องพิจารณาจากภูมิหลังของความคาดหมายที่ว่าประชากรชายซึ่งเป็นผู้ใหญ่ราว 9 ใน 10 คนจะทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ทั้งนี้ถ้ารัฐบาลในยุคสมัยนั้นคำนวณสิ่งที่ในปัจจุบันเรียกกันว่า “อัตราการเข้าร่วมของกำลังแรงงาน” (labor force participation rate) ออกมาแล้ว มันก็จะอยู่ที่ระดับ 65% สำหรับทุกวันนี้อัตราการเข้าร่วมของกำลังแรงงานอยู่ต่ำกว่า 63% เสียอีก แต่ที่ตัวเลขอัตราการว่างงานในปัจจุบันอยู่ที่ 5% แทนที่จะเป็นสูงกว่า 25% ก็เพราะผู้ใหญ่ชายชาวอเมริกัน 1 ใน 6 คนได้ผละออกจากกำลังแรงงานไปแล้ว รวมทั้งภาวะไม่มีงานทำแบบแอบแฝงซ่อนเงื่อนก็มีมากมายเหลือเกิน ตั้งแต่การเป็นผู้ว่างงานที่พึ่งพาอาศัยเงินกู้เพื่อการศึกษา ไปจนถึงพึ่งพาอาศัยเงินช่วยเหลือผู้พิการไร้ความสามารถ
ทรัมป์ต้องการที่จะใช้จ่ายเงินเป็นจำนวน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯไปในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน นี่หมายความถึงการจ้างงานในภาคสาธารณะที่จะเกิดขึ้นอย่างมากมายมโหฬาร และการออกพันธบัตรตราสารหนี้ของรัฐบาลกลางกันเยอะแยะมหาศาล เขาถูกต้องตรงเผ็งจริงๆ เรื่องที่อันตรายมากมายเสียยิ่งกว่าถนนและอุโมงค์ซึ่งทรุดโทรม ก็คือกำลังแรงงานที่ทรุดโทรมเสื่อมถอย ไม่มีประเทศไหนสามารถทนแบกรับไหวหรอก ในการปล่อยให้ทรัพยากรบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ของตนทุก 1 ใน 6 คนเน่าเปื่อยเหี่ยวเฉาอยู่ในความเกียจคร้าน แล้วยังคงมีหวังที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ สิ่งแรกสุดที่จะต้องทำคือนำเอาผู้คนกลับเข้ามาทำงานให้ว่องไว –อย่างเดียวกับที่รูสเวลต์ได้เคยทำด้วยการจัดตั้งสำนักงานจ้างงานภาคสาธารณะขึ้นมามากมาย
ผมนั้นมีความคิดของผมเองเกี่ยวกับสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์ควรกระทำ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่จะมาพูดกันในข้อเขียนชิ้นนี้ แต่สามารถกล่าวได้ว่า ชาวอเมริกันนั้นปฏิเสธไม่ยอมรับภาวะชะงักงันและการทำงานแบบแค่ซ่อมแซมปะผุทางสังคมในช่วงสมัยของโอบามา อย่างเดียวกับที่พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมรับลัทธิรุกคืบหน้าไปทีละเล็กละน้อย (incrementalism) ของนักอนุรักษนิยมที่แค่คิดเล็กทำเล็กแบบ จอห์น แมคเคน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกันในปี 2008 และ มิตต์ รอมนีย์ ผู้ติดตามเขาไปสู่ความปราชัยอีกครั้งในปี 2012
ขณะที่พูดไม่ได้เต็มปากว่า ครั้งนี้เป็นชัยชนะของรีพับลิกัน เนื่องจากพวกที่แต่งตั้งตนเองเป็นผู้พิทักษ์อุดมการณ์รีพับลิกันนั้น ส่วนใหญ่ที่สุดให้การสนับสนุน ฮิลลารี คลินตัน หรือไม่ก็นั่งดูเฉยๆ มีรายงานว่า จอร์จ บุช ทั้งผู้พ่อและผู้ลูก ปล่อยให้บัตรเลือกตั้งประธานาธิบดีของพวกเขาว่างเปล่าไม่ได้กาเลือกใครเลย อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้มันเป็นชัยชนะของอเมริกัน เป็นชัยชนะสำหรับคุณสมบัติดีๆ ของอเมริกา ในเรื่องความกล้าเสี่ยงและความปรารถนาที่จะปรับตัว, ลองผิดลองถูก, และทำไปดุ่ยๆ แม้ยังไม่มีความชำนาญ
ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่บรรดาชาติหุ้นส่วนของอเมริกาหรือประเทศคู่แข่งของอเมริกันจะต้องรู้สึกตื่นตระหนก ถึงอย่างไรอเมริกาก็กำลังเพียงแค่แสดงความเป็นอเมริกาให้เห็นกันเท่านั้น ในหัวใจแห่งหัวใจของอเมริกาแล้ว มีความสนใจน้อยนิดเหลือเกินต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอีกฟากสมุทรหนึ่งไกลโพ้นจากชายฝั่งทะเลของตนเอง และในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ จะมีความโน้มเอียงน้อยลงที่จะเข้าไปยุ่มย่ามในต่างแดน ผมคาดหวังว่าทรัมป์จะทุ่มทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นเข้าไปในการสร้างกองทัพขึ้นมาใหม่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยีการทหาร ซึ่งนี่คงเป็นสิ่งที่มอสโกและปักกิ่งอาจจะไม่ชอบ ทว่าในตัวมันเองแล้วไม่ได้เป็นลางบอกเหตุว่าจะเกิดการประจันหน้าประเภทใดๆ ขึ้นมา
ผลตอบแทนของพันธบัตรอเมริกันบางทีคงจะเพิ่มสูงขึ้น ทั้งเนื่องจากทรัมป์จะใช้จ่ายอย่างแรงเพื่อสนับสนุนการเติบโตขยายตัวของเศรษฐกิจ และทั้งเนื่องจากอัตราเติบโตที่สูงขึ้นก็ย่อมนำเอาอัตราดอกเบี้ยขยับขึ้นตามมาด้วย สำหรับค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนตัวลง และกระแสลมอันหนาวยะเยือกของภาวะเงินฝืดซึ่งได้พัดกระพือออกจากสหรัฐฯในระหว่าง 3 ปีที่ผ่านมา ก็จะลดความแรงกล้าลงไป
สาธารณชนชาวอเมริกันมอบอาณัติให้แก่ทรัมป์ เพื่อให้เขาทดลองทำบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างออกไปอย่างน่าตื่นใจ จากมาตรการต่างๆ อันน่าผิดหวังของระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา มันเหมือนกับเป็นการเคลื่อนตัวไปในเส้นทางขรุขะภายหลังผละออกมาจากภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและการยอมแพ้ในเชิงยุทธศาสตร์ ทว่ามันก็เป็นเส้นทางแห่งการผละจากออกมา ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะเป็นสิ่งดีๆ สำหรับส่วนอื่นๆ ของโลกด้วยเช่นกัน
(เอเชียไทมส์ไม่รับผิดชอบใดๆ เกี่ยวกับความคิดเห็น, ข้อเท็จจริง, หรือเนื้อหาของสื่อใดๆ ซึ่งเสนอโดยผู้ร่วมส่งข้อเขียนมาให้)
เดวิด พี. โกลด์แมน (เกิด 27 กันยายน 1951) เป็นนักเศรษฐศาสตร์, นักวิจารณ์ดนตรี, และนักเขียนชาวอเมริกัน เขาเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดจากชุดข้อเขียนออนไลน์ของเขาในเอเชียไทมส์โดยใช้นามปากกาว่า “สเปงเกลอร์” (Spengler) ปัจจุบันเขาเป็นกรรมการบริหารคนหนึ่งของ Asia Times Holdings