เอเจนซีส์/MGR ออนไลน์ - วันนี้ (16 ต.ค.) นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ประกาศกลางที่ประชุมผู้นำชาติกลุ่ม BRICS ในรัฐกัวที่มีแดนภารตะเป็นเจ้าภาพ ประกาศ “ก่อการร้ายอยู่ข้างบ้าน” เกิดขึ้น 1 วันหลังรัสเซียและอินเดียลงนามความร่วมมือข้อตกลงทางทหารและพลังงาน สั่งซื้อระบบต่อต้านอากาศยาน S-400 จากรัสเซีย เป็นพันธมิตรร่วมผลิตเฮลิคอปเตอร์รุ่น Ka-226T พร้อมต่อเรือรบฟริเกต 4 ลำให้กับกองทัพอินเดีย ด้านรัสเซียยอมซื้อบริษัทพลังงานอินเดีย เอสซาร์ ออยล์ ลิมิเต็ด (Essar Oil Ltd) มูลค่า 13 พันล้านดอลลาร์แลกเปลี่ยน
สื่อเดอะฮินดูของอินเดียรายงานวันนี้ (16 ต.ค.) ว่า นายกรัฐมนตรีอินเดีย นเรนทรา โมดี ได้ใช้โอกาสในวันที่ 2 ของการประชุมกลุ่ม BRICS ในรัฐกัว ที่มีอินเดียเป็นเจ้าภาพในปีนี้ ประกาศกลางที่ประชุมผู้นำชาติสมาชิก 5 ชาติที่เข้าร่วม กล่าวโจมตีปากีสถานว่า “ภัยคุกคามโดยตรงต่อเศรษฐกิจของเราคือการก่อการร้าย แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ ต้นตอก่อการร้ายนั้นกลับเป็นเพื่อนบ้านของอินเดียเอง”
ทั้งนี้ ในการแถลงต่อหน้าชาติผู้นำทั้งหมด โมดีต้องการให้กลุ่ม BRICS ร่วมมือต่อต้านการก่อการร้าย และเรียกร้องให้รับร่างอนุสัญญาในกรอบขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายฉบับสมบูรณ์ CCIT (Comprehensive Convention on International Terrorism)
และเดอะฮินดูรายงานต่อว่า ซึ่งความกังวลของแดนภารตะถึงปัญหาการก่อการร้ายทะลักข้ามพรมแดนเป็นหนึ่งในปัญหาที่อินเดียได้หยิบยกขึ้นในที่ประชุม BRICS จัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน โดยเริ่มตั้งแต่เมื่อวานนี้ (15 ต.ค.) และยังได้นำข้อปัญหานี้เข้าสู่การปรึกษาหารือในระดับทวิภาคีที่เกิดขึ้นในช่วงนี้อีกด้วย
โดยรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย เอส ชัยจันการ์ (S Jaishankar) ได้แถลงต่อสื่อว่า อินเดียขอบคุณรัสเซียสำหรับการประณามอย่างเปิดเผยต่อเหตุก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในอูรี (Uri) แคว้นจัมมูแคชเมียร์ของอินเดียในช่วงรุ่งสางของวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา และทำให้ทหารอินเดียจำนวน 19 นายต้องเสียชีวิต
แต่ทว่าเมื่อดูในฝั่งจีน กลับเห็นท่าทีตรงกันข้ามกับรัสเซียในเรื่องนี้ โดยมีรายงานว่า ประธานาธิบดีจีน สีจิ้น ผิง ที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการประชุม BRICS ซัมมิต ได้กล่าวกับโมดีในการประชุมระดับทวิภาคีในในช่วงค่ำวันเสาร์ (15 ต.ค.) โดยทางสีประกาศจุดยืน ต้องการให้ทางอินเดียทำตามกรอบการ SAARC ของอิสลามาบัด ซึ่งขัดต่อจุดยืนของอินเดียอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งในวันเสาร์ (15 ต.ค.) ยังเป็นวันที่ทางอินเดียได้มีการลงนามความร่วมมือด้านการทหารและพลังงานร่วมกับรัสเซีย
โดยวอลล์สตรีท เจอร์นัล สื่อธุรกิจ รายงานเมื่อวานนี้ (15) ว่า ทั้งสองชาติได้ประกาศร่วมกันว่า อินเดียตกลงสั่งซื้อระบบต่อต้านอากาศยาน S-400 จากรัสเซีย และยังตกลงเป็นพันธมิตรร่วมผลิตเฮลิคอปเตอร์รุ่น Ka-226T ที่ใช้ในการสอดแนมและลำเลียงเป็นหลัก และรวมไปถึงการต่อเรือรบฟริเกต 4 ลำสำหรับกองทัพเรืออินเดีย
ซึ่งสื่อธุรกิจชี้ว่า เป็นการประกาศที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทางอินเดียได้ก่อตัวความสัมพันธ์ทางทหารอย่างใกล้ชิดกับวอชิงตัน และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ทางมอสโกเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับปากีสถาน คู่อริแดนภารตะที่มีพรมแดนติดกัน
วอลล์สตรีทยังชี้ต่อว่า ดูเหมือนทั้งอินเดียและรัสเซียต่างจะพยายามหาทางแก้ตัวซึ่งกันและกันในการที่ใกล้ชิดด้านการทหารกับประเทศขั้วตรงข้ามในการพบปะในวันเสาร์ (15 ต.ค.) โดยฝ่ายอินเดียได้แก้ตัวกับรัสเซียเกี่ยวกับ ความร่วมมือระหว่างกองทัพอินเดียและสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้น
โดยนายกรัฐมนตรีอินเดียโมดีได้กล่าวต่อปูตินว่า “เพื่อนเก่าย่อมดีกว่าเพื่อนใหม่ถึง 2 คน”
ในขณะเดียวกัน พบว่าฝ่ายปูตินเลือกที่จะเล่นบทเฉย โดยทางรัสเซียพยายามไม่ทำให้การร่วมฝึกซ้อมรับทางทหารระหว่างกองทัพรัสเซียและกองทัพปากีสถานครั้งแรกในต้นเดือนนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทั้งนี้ วอลล์สตรีทเจอร์นัลยังระบุว่า การซ้อมรบครั้งแรกระหว่างทั้งสองชาติสร้างความตื่นตระหนกให้กับอินเดีย และยังเป็นการบั่นทอนความพยายามของอินเดียในการใช้ความพยายามแยกปากีสถานออกจากประชาคมโลก โดยชี้ไปว่ามีกลุ่มก่อการร้ายปฏิบัติการในดินแดนของปากีสถาน
และในการลงนามระหว่างอินเดียและรัสเซีย ยังรวมไปถึงด้านพลังงาน โดย พบว่าบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่รัสเซียพีเอโอ รอซเนฟต์ (PAO Rosneft) บริษัทค้าคอมโมดิตีสัญชาติดัตช์ ทราฟิกูรา กรุ๊ป พีทีอี (Trafigura Group Pte) และบริษัทเงินลงทุนรัสเซีย ยูไนเต็ด แคปปิตอล ฟาร์เนอร์ส (United Capital Partners) จะเข้าซื้อบริษัทพลังงานอินเดีย เอสซาร์ ออยล์ ลิมิเต็ด (Essar Oil Ltd) มูลค่าข้อตกลง 13 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมมูลค่าหนี้
โดยโมดีได้กล่าวให้ความเห็นหลังการพบปะหารือกับประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน นานเกือบร่วม 2 ชม.ว่า “ข้อตกลงความร่วมมือในวันเสาร์ได้ก่อกำเนิดความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ของทั้งสองชาติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” และกล่าวต่อว่า “และข้อตกลงเหล่านี้ยังได้วางรากฐานความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งทั้งทางด้านความมั่นคงและด้านเศรษฐกิจในอนาคตข้างหน้า”