“ทรัมป์-คลินตัน” ขึ้นเวทีดวลวิสัยทัศน์ ตัวแทนรีพับลิกันชูปูตินดีกว่าโอบามา

รอยเตอร์ - “ทรัมป์” ย้ำ “ปูติน” เป็นผู้นำที่ดีกว่าโอบามา ประกาศ “พร้อมเต็มร้อย” สำหรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขณะที่ “คลินตัน” ที่ขึ้นเวทีเดียวกันก่อนหน้านั้น อวดอ้างประสบการณ์ช่ำชองทางการเมืองการันตีความเหมาะสมในการครองทำเนียบขาว แถมโฆษณาทิ้งท้ายทำให้โลกปลอดภัยขึ้นสมัยนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีต่างประเทศ

วันพุธ (7 ก.ย.) ที่ผ่านมา สถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีได้เปิดเวทีแสดงวิสัยทัศน์ระหว่างผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสองพรรคใหญ่ โดยที่แคนดิเดตทั้งคู่แยกกันขึ้นเวทีคนละช่วง และถือเป็นการโหมโรงก่อนที่ฮิลลารี คลินตัน ที่เตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี และโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้เป็นข่าวใหญ่ไม่เว้นแต่ละวันจากความปากร้ายและสไตล์ถึงลูกถึงคน จะถูกซักไซ้ไล่เลียงในประเด็นความมั่นคงระหว่างการดีเบตใหญ่ 3 ครั้งที่จะมีขึ้นในเดือนนี้และเดือนหน้า

คลินตัน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต เป็นฝ่ายขึ้นเวทีก่อน และไม่รั้งรอที่จะโฆษณาว่าตัวเองมีประสบการณ์ยาวนานในรัฐบาลทั้งในบทบาทวุฒิสมาชิก และรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งทำให้เธอเหมาะสมที่จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งยังอวดว่า ตัวเองมี “ความหนักแน่นประดุจหินผา” และสามารถตัดสินใจประเด็นที่ยากลำบาก เท่ากับเป็นการโจมตีโดยตรงต่อทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ที่ถูกพลพรรคเดโมแครตวิจารณ์ว่าขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์และไม่เหมาะเป็นประมุขทำเนียบขาว

เมื่อถูก แมต ลอว์เออร์ ผู้ดำเนินรายการ จี้ให้พูดเรื่องการจัดการอีเมลจากเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวระหว่างเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศปี 2009-2003 คลินตันยืนยันว่า อีเมลที่รับและส่งจากบัญชีหรือเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว ไม่มีฉบับใดที่เป็นความลับสุดยอด ความลับ หรือเอกสารลับ

อย่างไรก็ดี กรณีดังกล่าวทำให้คลินตันถูกเจมส์ คอร์นีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) ตำหนิว่า “เลินเล่ออย่างร้ายแรง” รวมทั้งทำให้คนมากมายสงสัยในความซื่อสัตย์ของเธอ

คลินตันยังบอกว่า เสียใจที่ตัดสินใจสนับสนุนสงครามอิรักเมื่อ 13 ปีที่แล้วขณะเป็นวุฒิสมาชิกจากนิวยอร์ก แต่สำทับว่า ตอนนั้นทรัมป์ก็เห็นดีเห็นงามกับปฏิบัติการดังกล่าวเหมือนกัน แม้ว่าระหว่างช่วงหาเสียงเขาจะกลับลำมาประณามสงครามอิรักและประกาศว่า จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งยืดเยื้อในตะวันออกกลางก็ตาม

ส่วนประเด็นการแทรกแซงลิเบียในปี 2011 นั้น คลินตันปฏิเสธการวิจารณ์ของทรัมป์เรื่องที่เธอสนับสนุนปฏิบัติการนี้ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ โดยบอกว่า การปล่อยให้เกิดสงครามกลางเมืองยืดเยื้อในลิเบียจะนำไปสู่สถานการณ์อันตรายเช่นเดียวกับซีเรียในขณะนี้

ทั้งนี้ ทรัมป์โจมตีการจัดการวิกฤตการณ์ในลิเบียของคลินตันว่าเข้าขั้น “หายนะ” ขณะที่รีพับลิกันเฝ้าตอกย้ำข้อเท็จจริงที่ว่า คริส สตีเวนส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำลิเบีย ถูกกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงสังหารในเบงกาซี ลิเบีย เมื่อปี 2012

กระนั้น คลินตันย้ำว่า นโยบายของอเมริกาในขณะที่เธอคุมกระทรวงต่างประเทศส่งเสริมความมั่นคงและทำให้โลกปลอดภัยขึ้น
.

.
เมื่อถึงคิวทรัมป์ในช่วงครึ่งหลังของรายการที่มีความยาว 1 ชั่วโมง เขาถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในตำแหน่งประธานาธิบดี และความพร้อมสำหรับบทบาทผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเจ้าตัวตอบว่า “100% อยู่แล้ว”

เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ยังเพิกเฉยต่อคำขอร้องของลอว์เออร์ให้หลีกเลี่ยงการโจมตีคู่แข่งและโฟกัสเฉพาะเรื่องว่า จะทำอย่างไรหากได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 8 พฤศจิกายน

“เธออยู่ตรงนั้นมา 30 ปีแล้ว เราต้องการการเปลี่ยนแปลงโดยด่วน”

ทรัมป์บอกว่า บรรดานายพลของสหรัฐฯ ถูกลดบทบาทจนแทบกลายเป็นเศษธุลีภายใต้การนำของบารัค โอบามา และคลินตัน

ในทางกลับกัน แคนดิเดตจากรีพับลิกันยกย่องประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย ว่าเป็นผู้นำที่ดีกว่าโอบามา แถมสนับสนุนให้วอชิงตันและมอสโกเป็นพันธมิตรกันเพื่อกวาดล้างกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)

อนึ่ง เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ตราหน้าโอบามาว่าเป็นผู้ก่อตั้งไอเอส เรียกเสียงวิจารณ์อย่างรุนแรงจนทำให้เขาต้องปรับเปลี่ยนการหาเสียงใหม่ให้อยู่กับร่องกับรอยมากขึ้น

อดีตพิธีกรเรียลิตีโชว์สำทับว่า ช็อกกับข้อมูลลับจากการบรรยายสรุปของเจ้าหน้าที่ในฐานะที่เขาเป็นผู้สมัครจากรีพับลิกัน เพราะทำให้รู้ว่า โอบามาไม่ทำตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

อนึ่ง ก่อนขึ้นเวที ทรัมป์ประกาศจะเริ่มการสะสมกำลังทหารครั้งใหม่ เนื่องจากอเมริกากำลังอยู่ภายใต้การคุกคามอย่างไม่เคยมีมาก่อนจากกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง เกาหลีเหนือ และจีน