รอยเตอร์ - จอร์จ ออสบอร์น รัฐมนตรีกระทรวงการคลังอังกฤษ ออกมาเตือนประชาชนให้เตรียมตัวเตรียมใจรับมาตรการขึ้นภาษี และรัดเข็มขัดเข้มงวด หากผลประชามติในสัปดาห์หน้า ทำให้อังกฤษต้องออกจากสหภาพยุโรป (อียู)
ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุด บ่งชี้ว่า ชาวอังกฤษส่วนใหญ่เริ่มมีใจเอนเอียงไปในข้าง “ออก” จากอียูมากขึ้นเรื่อย ๆ รัฐมนตรี ออสบอร์น ก็ได้ออกมาพูดย้ำถึงผลกระทบที่จะตามมาหลังปรากฏการณ์ “เบร็กซิต” (Brexit) โดยเตือนว่า รัฐบาลจำเป็นต้องตอบสนองด้วยการขึ้นภาษี และตัดลดงบประมาณ
“การถอนตัวจากอียูจะส่งผลเสียต่อภาคการลงทุน กระทบต่อครัวเรือน และเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจของอังกฤษด้วย” ถ้อยแถลงที่ ออสบอร์น เตรียมจะกล่าวในวันนี้ (15 มิ.ย.) ระบุ
“ผมมีหน้าที่ที่จะต้องรักษาเสถียรภาพของการคลังสาธารณะ และนั่นหมายถึงการออกกฎหมายงบประมาณฉุกเฉิน ซึ่งรวมถึงการปรับขึ้นภาษีและตัดลดงบประมาณ” ร่างคำแถลงของรัฐมนตรีคลังอังกฤษซึ่งเผยแพร่โดยกลุ่ม Britain Stronger in Europe ระบุ
จากโพลล่าสุดเมื่อวันอังคาร (14) พบว่า ฝ่ายที่สนับสนุนให้อังกฤษ “อยู่” ในอียูซึ่งเคยมีคะแนนนำฝ่ายหนุนเบร็กซิตเป็นตัวเลขถึง 2 หลัก บัดนี้กลับมีคะแนนทิ้งห่างกันเพียง 1% เท่านั้น ซึ่งข้อมูลนี้ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงอ่อนยวบลงทันที
ออสบอร์น ได้แจกแจงแผนสร้างรายได้แก่ภาครัฐมูลค่า 30,000 ล้านปอนด์ ซึ่งครึ่งหนึ่งจะได้จากการเก็บภาษีเพิ่ม ส่วนอีกครึ่งมาจากการตัดลดงบประมาณ ซึ่งเขาย้ำว่า รัฐบาลจำเป็นต้องใช้มาตรการเหล่านี้เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการที่สมาชิกภาพของอังกฤษในอียูสิ้นสุดลง
อัตราภาษีเงินได้ขั้นพื้นฐาน (basic rate) จะถูกปรับเพิ่ม 2% ขึ้นไปเป็น 22% ส่วนอัตราขั้นสูง (higher rate) จะเพิ่ม 3% ขึ้นไปอยู่ที่ 43% ในขณะที่ภาษีมรดก ภาษีเหล้าและน้ำมันเชื้อเพลิง ก็จะถูกปรับขึ้นตาม ๆ กันไป
ในส่วนของงบประมาณด้านการศึกษา สาธารณสุข และกลาโหม จะถูกปรับลดลงราว ๆ 2% เช่นเดียวกับสวัสดิการผู้สูงอายุ
ออสบอร์น มีกำหนดขึ้นปราศรัยพร้อมกับ อลิสแตร์ ดาร์ลิง ซึ่งเคยปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีคลังในช่วงที่อังกฤษดำดิ่งลงสู่วิกฤตการเงิน
“ผมรู้สึกกังวลกับครั้งนี้ยิ่งกว่าเมื่อปี 2008 เสียอีก” ร่างคำแถลงของ ดาร์ลิง ระบุ
“ฝ่ายที่ยุให้เราออกจากอียูยังไม่รู้อะไร ไม่มีแผนรับมืออะไรสักอย่าง”
กลุ่มที่สนับสนุนเบร็กซิต เชื่อว่า การปลีกตัวจากอียูจะช่วยให้เศรษฐกิจของเมืองผู้ดีเข้มแข็งขึ้น และหากรัฐบาลไม่ต้องเจียดงบประมาณให้แก่อียู ก็จะสามารถนำเงินส่วนนี้ไปอุดหนุนภาคส่วนต่าง ๆ ได้มากกว่าที่เป็นอยู่ เช่น ระบบสาธารณสุข เป็นต้น
