เอเอฟพี/รอยเตอร์ - บัน คีมูน เลขาธิการสหประชาชาติในวันจันทร์ (23 พ.ค.) ประณามเหตุโจมตี 2 เมืองชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน ที่กล่าวอ้างความรับผิดชอบโดยพวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) และแสดงความกังวลต่อปฏิบัติการทางทหารที่ลุกลามทั้งในและรอบๆดามัสกัส ขณะที่สหรัฐฯ เรียกร้องรัสเซียกดดันรัฐบาลนายอัสซาดหยุดโจมตีทางอากาศถล่มกองกำลังฝ่ายค้านในอเลปโปและรอบๆ เมืองหลวง
มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 148 คนในเหตุระเบิดที่สถานีรถบัส โรงพยาบาลและสถานีไฟฟ้าในเมืองจับเลห์ และเมืองตาร์ตุส ที่เป็นเมืองชายชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งอยู่ในควบคุมของรัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดแห่งซีเรีย ซึ่งอยู่ในควบคุมของรัฐบาลซีเรีย และเป็นที่ตั้งของฐานทัพทหารรัสเซีย
โฆษกของเลขาธิการสหประชาชาติระบุว่า “นายบันประณามเหตุโจมตีก่อการร้ายในวันนี้ ที่คร่าชีวิตพลเรือนหลายสิบชีวิตในเมืองจับเลห์ และเมืองตาร์ตุส ตามแนวชายฝั่งชของซีเรีย เขาแสดงความกังวลใหญ่หลวงต่อความเคลื่อนไหวทางทหารที่ลุกลามทั้งในและรอบๆดามัสกัส โดยเฉพาะในดารายา, อะเลปโป และอิดลิบ และเมืองฮอมส์ ทางเหนือของประเทศ โดยเฉพาะที่อัล-ฮูลา”
กลุ่มผู้สังเกตการณ์ชาวซีเรียเพื่อสิทธิมนุษยชนซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในอังกฤษแต่อาศัยข้อมูลจากพวกนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลในซีเรีย ระบุว่ามีพลเรือน 14 ราย ในนั้นเป็นเด็ก 4 คน เสียชีวิตจากระเบิดถังน้ำมัน (Barrel Bombs) ในหมู่บ้านอัล-ฮุลาและหมู่บ้านใกล้เคียงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
Barrel Bombs เป็นรูปแบบการโจมตีแบบสุ่มๆ ด้วยการทิ้งระเบิดถังน้ำมันลงจากเฮลิคอปเตอร์ โดยการที่มันถูกนำมาใช้ในสงครามซีเรีย ได้เรียกประณามอย่างดุเดือดจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน แต่ทางรัฐบาลปฏิเสธว่าไม่ได้ใช้อาวุธชนิดนี้
ในถ้อยแถลงนายบันได้เรียกร้องซ้ำอีกครั้งให้กลุ่มก๊กต่างๆในสงครามละเว้นการโจมตีพลเรือน และบอกว่าพวกที่อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีลักษณะนี้ควรถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ด้านสหรัฐฯ ก็ประณามอย่างรุนแรงต่อเหตุโจมตีในเมืองจับเลห์ และเมืองตาร์ตุส และประกาศเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารต่อนักรบไอเอสในซีเรียและอิรัก
นอกจากนี้แล้ว ทางมาร์ก โทเนอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยด้วยว่านายจอห์น เคร์รี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เรียกร้องให้เขากดดันรัฐบาลดามัสกัส ระงับการโจมตีในอเลปโปและดารายา
“รัสเซียมีความรับผิดชอบพิเศษในการกดดันรัฐบาลให้ยุติการโจมตีที่เข่นฆ่าชีวิตพลเรือน และเปิดทางส่งมอบความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ในทันที และปฏิบัติตามข้อตกลงยุติความเป็นปรปักษ์อย่างสมบูรณ์” โทเนอร์ แถลงต่อผู้สื่อข่าวในวอชิงตัน
นอกจากนี้แล้ว โทเนอร์ยังชี้แจงด้วยว่าสหรัฐฯ ไม่ได้พิจารณาปฏิบัติการโจมตีทางอากาศร่วมกับรัสเซีย ระหว่างการสนทนาในวันจันทร์ (23 พ.ค.) “เราไม่ได้มองไปที่ปฏิบัติการร่วม เราหารือกับพวกเขาเกี่ยวกับข้อเสนอต่างๆเพื่อให้ได้กลไกสำหรับสังเกตการณ์และบังคับใช้ข้อตกลงยุติความเป็นปกปักษ์ที่ดีกว่าเดิมแและยั่งยืน เราไม่ได้พูดคุยกันในเรื่องปฏิบัติการร่วม”