xs
xsm
sm
md
lg

ทหารเรือมะกันโดนตั้งข้อหาเป็นสปาย คาดส่งข้อมูลลับของชาติให้จีน-ไต้หวัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นาวาตรี เอ็ดเวิร์ด ลิน ผู้ถูกตั้งข้อหาจารกรรม
รอยเตอร์ - ทหารเรืออเมริกันนายหนึ่งที่สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวกรองที่อ่อนไหวของสหรัฐฯ ถูกตั้งข้อหาจารกรรม จากการกล่าวหาว่าเขาเป็นสปายขายความลับของชาติ ซึ่งเป็นไปได้ว่าปลายทางคือจีนและไต้หวัน ขณะที่ทั้งปักกิ่งและไทเปยังสงวนท่าทีโดยบอกว่าไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้

เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ไม่ประสงค์ออกนามเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (10) ว่า ผู้ต้องสงสัยคือ นาวาตรี เอ็ดเวิร์ด ลิน ที่เกิดในไต้หวันและโอนสัญชาติเป็นพลเมืองอเมริกันแล้ว จากข้อมูลประวัติย่อเจ้าหน้าที่กองทัพเรือในปี 2008

เอกสารคำฟ้องของกองทัพเรือระบุว่า ผู้ต้องสงสัยได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์บัญชาการของกลุ่มลาดตระเวนและสอดแนมของกองทัพเรือ ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบกิจกรรมการรวบรวมข่าวกรอง

เอกสารคำฟ้องระบุชื่อผู้ต้องสงสัย แต่กองทัพเรือปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับนายทหารเรือผู้นี้

เอกสารคำฟ้องระบุว่า ผู้ต้องสงสัยได้เผยแพร่ข้อมูลลับสองครั้ง และพยายามเผยแพร่ข้อมูลลับอีกสามครั้งให้แก่ตัวแทนของรัฐบาลต่างชาติ โดยมีเจตนารมณ์หรือเหตุผลที่เชื่อได้ว่าข้อมูลนั้นจะถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของต่างชาติ

เอกสารไม่ได้ระบุถึงประเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทว่าเจ้าหน้าที่คนเดิมระบุเพิ่มเติมว่า เป็นไปได้ทั้งจีนและไต้หวัน แต่ย้ำว่าเรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน

ผู้ต้องสงสัยยังถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับผู้หญิงขายบริการและการผิดประเวณี นายทหารผู้นี้ถูกควบคุมตัวก่อนการไต่สวนมาตลอดระยะเวลาอย่างน้อย 8 เดือนก่อนหน้านี้

สำนักข่าวยูเอสเอ็นไอ นิวส์ ซึ่งเป็นสื่อแห่งแรกที่ระบุชื่อลิน รายงานว่า ลินพูดภาษาจีนกลางได้คล่อง และเป็นผู้จัดการรวบรวมสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จากเครื่องบินสอดแนม EP3-E Aries II

ทั้งนี้ กองทัพเรือบันทึกประวัติย่อของลินในปี 2008 โดยเน้นที่การโอนสัญชาติ ซึ่งระบุว่า ครอบครัวของเขาอพยพออกจากไต้หวันขณะที่เขาอายุ 14 ปี และโยกย้ายไปอยู่ในหลายประเทศก่อนปักหลักที่อเมริกา

ส่วนที่ปักกิ่ง ลู่ คัง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเผยว่า ไม่รู้รายละเอียดคดีดังกล่าว ขณะที่กระทรวงกลาโหมจีนปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

ด้านกระทรวงกลาโหมไต้หวันเผยว่า ไม่มีข้อมูลเรื่องนี้เช่นเดียวกัน และกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น


กำลังโหลดความคิดเห็น