รอยเตอร์ - หลายประเทศทั่วโลกตื่นตัวยกระดับหรือทบทวนการรักษาความปลอดภัยสนามบิน หลังเหตุระเบิดสองครั้งซ้อนในท่าอากาศยานกรุงบรัสเซลส์เมื่อวันอังคาร (22 มี.ค.) ที่ผู้นำออสเตรเลียชี้ว่าสาเหตุมาจากพรมแดนยุโรปที่มีช่องทางให้เล็ดลอดข้ามแดนมากมาย อีกทั้งมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ค่อนข้างหละหลวม
กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) อ้างความรับผิดชอบในเหตุระเบิดที่อาคารผู้โดยสารขาออกของท่าอากาศยานซาเวนเทม รวมทั้งที่สถานีรถไฟใต้ดินในกรุงบรัสเซลส์ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 30 คน และอัยการเบลเยียมเชื่อว่า เหตุระเบิดที่สนามบินซึ่งรองรับนักเดินทางปีละกว่า 23 ล้านคนแห่งนี้เป็นฝีมือมือระเบิดฆ่าตัวตาย
เมื่อวันพุธ (23) นายกรัฐมนตรี มัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ ของออสเตรเลีย กระโดดเข้าร่วมประเด็นการถกเถียงเรื่องการรักษาความปลอดภัยพรมแดนทั่วโลก โดยยืนยันกับชาวออสซี่ว่า การจัดการรักษาความปลอดภัยภายในออสเตรเลียเข้มแข็งกว่าในยุโรปซึ่งมีช่องโหว่มากมาย
ทางด้านสนามบินทั่วเอเชียก็มีการวางกำลังรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้น โดยทั้ง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไทย และอินเดีย ต่างระบุว่าได้เพิ่มกำลังรักษาความปลอดภัยศูนย์กลางการขนส่งสำคัญต่างๆ
มาตรการใหม่ที่ประเทศต่างๆ นำมาใช้ล่าสุด มีดังเช่น การเพิ่มการตรวจตราผู้ที่เข้าสู่อาคารผู้โดยสาร และเพิ่มการลาดตระเวนภายในอาคารผู้โดยสาร
ตัวอย่างเช่นที่อินเดีย ประเทศนี้มีการรักษาความปลอดภัยสนามบินเข้มงวดกว่าประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียอยู่แล้ว โดยก่อนเกิดเหตุวินาศกรรมบรัสเซลส์เมื่อวันอังคาร มีเพียงผู้โดยสารที่มีตั๋วเครื่องบินและหนังสือเดินทางถูกต้องเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่อาคารผู้โดยสาร
หลังเหตุสะเทือนขวัญที่เบลเยียม อินเดียยังเริ่มตรวจสอบกระเป๋าบางส่วนที่ผู้โดยสารนำเข้าสู่อาคารผู้โดยสารด้วย
ซูเรนเดอร์ ซิงห์ ผู้อำนวยการใหญ่ของกองกำลังรักษาความปลอดภัยอุตสาหกรรมส่วนกลาง ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยสนามบินพาณิชย์ ยอมรับว่า ไม่สามารถตรวจกระเป๋าทุกใบที่ผ่านเข้าสู่อาคารผู้โดยสารได้ เนื่องจากจะทำให้ผู้โดยสารไม่ได้รับความสะดวก เกิดความล่าช้าติดขัด
ทางด้านเจ้าหน้าที่ในลอนดอน ปารีส และแฟรงก์เฟิร์ต รับมือเหตุโจมตีในบรัสเซลส์ โดยการเพิ่มกำลังตำรวจออกลาดตระเวนในสนามบินและศูนย์กลางขนส่งต่างๆ ขณะที่สายการบินต้องเปลี่ยนเส้นทางบินกันวุ่นวายเนื่องจากสนามบินบรัสเซลส์ยังคงปิดให้บริการในวันพุธ (23)
ที่อเมริกา บรรดาเมืองใหญ่สุดของแดนอินทรีพากันยกระดับการเตือนภัย และกองกำลังพิทักษ์ชาติถูกเรียกไปประจำการรักษาความปลอดภัยเพิ่มในสนามบินสองแห่งของนิวยอร์กซิตี้
หลังเหตุการณ์สายการบินรัสเซียถูกสอยร่วงในอียิปต์เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ซึ่งไอเอสออกมาอ้างความรับผิดชอบเช่นเดียวกันนั้น หน่วยงานของสหประชาชาติได้เรียกร้องให้ทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัยของสนามบินทั่วโลก กระนั้น ดูเหมือนว่าจะมีการให้ความสนใจน้อยมากเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของตัวสนามบินเอง
แมทธิว ฟินน์ กรรมการผู้จัดการอ็อกเมนติก บริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยในการบิน กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าตกใจมากที่มีพื้นที่ในสนามบินเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่มีการรักษาความปลอดภัย
โดยเฉพาะพื้นที่สาธารณะในสนามบินของยุโรปตะวันตกถือว่าค่อนข้างเปิดกว้างและล่อแหลมกว่าสนามบินบางประเทศในแอฟริกา, ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งต้องมีการตรวจสอบเอกสารและสัมภาระก่อนที่ผู้โดยสารจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่อาคารสนามบิน
ตัวอย่างเช่นที่ตุรกี ผู้โดยสารและกระเป๋าจะถูกสกรีนระหว่างเดินเข้าสู่อาคารผู้โดยสาร และอีกครั้งหลังจากเช็กอิน หรือที่มอสโกที่มีการตรวจตราผู้ที่จะเข้าสู่อาคารผู้โดยสารเช่นกัน
สนามบินเบน กูเรียนในอิสราเอล ขึ้นชื่ออย่างยิ่งเรื่องการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบประวัตินักเดินทางเพื่อพิจารณาว่าเป็นบุคคลต้องสงสัยหรือไม่ นอกจากนั้นยังติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับกลิ่นระเบิด และมีการซักถามนักเดินทางเป็นรายบุคคล
ที่กรุงไนโรบีของเคนยา ซึ่งมีการเตือนภัยระดับสูงเพื่อป้องกันการโจมตีจากกลุ่มก่อการร้ายอัล-ชาบับนั้น ผู้โดยสารต้องลงจากรถเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นรถที่จุดตรวจ ก่อนถึงอาคารผู้โดยสารหลักของสนามบิน 1 กม.
กระนั้น เบน โวเกล บรรณาธิการไอเอชเอส เจนส์ แอร์พอร์ต รีวิว ตั้งข้อสังเกตว่า การเพิ่มมาตรการตรวจสอบ เช่น การเอกซเรย์กระเป๋าที่ทางเข้าอาคารผู้โดยสารอาจทำให้เกิดการติดขัด ความไม่สะดวก เที่ยวบินล่าช้า รวมถึงทำให้บริเวณดังกล่าวกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีที่มีความเป็นไปได้มากขึ้น