เอเอฟพี - ครอบครัวผู้โดยสารชาวอเมริกันรายหนึ่งบนเที่ยวบิน MH370 ของมาเลเซียแอร์ไลน์ส ตัดสินใจดำเนินคดีกับ โบอิ้ง ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินลำนี้ และถือเป็นการยื่นฟ้องในสหรัฐฯ ครั้งแรก นับตั้งแต่เครื่องบินได้สูญหายไปเมื่อ 2 ปีก่อน
สัปดาห์ที่แล้วได้มีการยื่นฟ้องต่อศาลที่นครชิคาโกซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่โบอิ้ง ในนามของ ฟิลิป วูด พลเมืองสหรัฐฯ ที่โดยสารไปกับเที่ยวบิน MH370 เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ปี 2014
เอกสารคำฟ้องระบุว่า เครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ของมาเลเซียแอร์ไลน์สลำนี้ เป็น “สินค้ามีตำหนิ” และขอให้ศาลสั่ง โบอิ้ง จ่ายค่าชดเชย
วันนี้ (8 มี.ค.) เป็นวันครบรอบ 2 ปีที่เที่ยวบิน MH370 หายไปอย่างเป็นปริศนาพร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ 239 คน ระหว่างเดินทางจากกรุงกัวลาลัมเปอร์มุ่งหน้าไปยังกรุงปักกิ่ง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินเชื่อว่าเครื่องบินลำนี้ได้บินออกนอกเส้นทางที่กำหนด โดยมุ่งหน้าไปยังมหาสมุทรอินเดียตอนใต้ก่อนจะพบจุดจบ ทว่าจนบัดนี้ทีมค้นหาก็ยังไม่สามารถระบุจุดตกที่แน่นอนได้ ส่วนสาเหตุของโศกนาฏกรรมก็ยังเป็นปริศนาดำมืด
ระยะเวลา 2 ปีคือกำหนดเส้นตายสำหรับการยื่นฟ้องดำเนินคดีกับสายการบิน ซึ่งในช่วงไม่กี่วันมานี้ก็มีญาติผู้โดยสารดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าชดเชย ทั้งในสหรัฐฯ มาเลเซีย จีน ออสเตรเลีย และประเทศอื่นๆ
เอกสารที่ยื่นฟ้องโบอิ้ง ชี้ว่า การสูญหายของเที่ยวบิน MH370 มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่เครื่องบินลำนี้ “ขาดเทคโนโลยีทางเลือกที่ควรจะมี ซึ่งจะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถระบุตำแหน่งที่แม่นยำของเครื่องบินได้แบบเรียลไทม์ ไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลก”
คำฟ้องระบุต่อไปอีกว่า การที่หาจุดตกของเครื่องบินไม่พบแสดงให้เห็นว่า เครื่องส่งสัญญาณระบุตำแหน่งกล่องดำที่ โบอิ้ง ใช้ “ไม่มีประสิทธิภาพพอ” อีกทั้งยังไม่พบหลักฐานอื่นๆ ที่บ่งชี้ถึงเหตุขัดข้องที่ไม่ใช่ทางกล (non-mechanical cause) ซึ่งก็แปลว่า อุบัติเหตุครั้งนี้น่าจะเกิดจากความบกพร่องภายในตัวเครื่องบินเอง
“จากหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดจึงสามารถอนุมานได้อย่างมีเหตุผลว่า การสูญหายของเที่ยวบิน MH370 เป็นผลมาจากข้อบกพร่องหนึ่งหรือหลายอย่างในกระบวนการผลิตและออกแบบเครื่องบินลำนี้”