เอเจนซีส์ - หลังจากที่สก็อต เคลลี (Scott Kelly) เดินทางกลับคืนสู่พื้นโลกสำเร็จในวันพุธ (3 มี.ค) ด้วยยานอวกาศสัญชาติรัสเซีย โซยูซ TMA-18M จากผลการตรวจร่างกายนักบินอวกาศสหรัฐฯ หลังกลับคืนสู่พื้นโลก พบเคลลีสามารถมีความสูงเพิ่มขึ้นอีกถึง 2 นิ้ว ในวัย 52 ปี หลังจากที่ต้องอาศัยในอวกาศนานร่วมปี และยังพบว่าหัวใจของนักบิน NASA ผู้นี้หดตัวลงจากการที่หัวใจไม่ต้องทำงานตามปกติเหมือนบนพื้นโลก แต่ส่งผลเสี่ยงต่อเซลล์บุหลอดเลือดที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจในอนาคต
NBC NEWS รายงานว่า เป็นที่น่าตื่นเต้นในผลการแพทย์ที่ออกมาจากการตรวจร่างกายของนักบินอวกาศสหรัฐฯ สก็อต เคลลี (Scott Kelly) หลังจากทุบสถิติเป็นนักบินอวกาศอเมริกาที่อาศัยอยู่บนอวกาศนานที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเคลลีได้อาศัยอยู่นานเป็นเวลา 340 วัน บนสถานีอวกาศนานาชาติ ISS ที่อยู่ห่างจากพื้นโลกไปถึง 250 ไมล์
โดยพบว่านักบินอวกาศผู้นี้มีความสูงเพิ่มขึ้น 2 นิ้วในวัย 52 ปี ขัดต่อหลักการแพทย์ทั่วโลกที่ยืนยันว่าความสูงของมนุษย์จะหยุดลงหลังจากเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ไปแล้ว
สื่อสหรัฐฯ ชี้ว่า ความสูงที่เพิ่มขึ้นในอวกาศของเคลลีเป็นผลมาจากการพัฒนาของจานหมอนรองกระดูก (disks of the spinal column) เนื่องจากในอวกาศ อวัยวะชิ้นนี้ไม่ต้องทำงานภายใต้แรงดึงดูดโลก ซึ่งทำให้ถูกบีบ เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่ออยู่บนพื้นโลก ส่งผลทำให้จานหมอนรองกระดูกทำงานได้อย่าง 100% และขยายขนาดเพิ่มขึ้น ส่งผลทำให้กระดูกสันหลังยาวขึ้น และมนุษย์อวกาศ สก็อต เคลลี สูงขึ้น
แต่ในทางกลับกัน ขนาดหัวใจของนักบินอวกาศผู้นี้มีขนาดเล็กลง เนื่องมาจากในขณะที่ต้องอาศัยอยู่บนอวกาศ ทำให้หัวใจไม่ต้องทำงานหนักเหมือนอยู่บนพื้นโลกจึงมีขนาดเล็กลง แต่อย่างไรก็ตาม ผลจากตรวจทางการแพทย์ชี้ว่ามีความกังวลว่าเคลลีอาจเกิดปัญหาโรคหลอดเลือดหัวใจในอนาคต เนื่องมาจากเซลล์บุหลอดเลือดหัวใจ (endothelial cells)ที่อาจได้รับผลกระทบจากรังสีอวกาศ
นอกจากนี้ยังพบว่า เคลลีมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกเปราะ เพราะบนยานอวกาศนานาชาติ ISS นักบินอวกาศไม่ต้องใช้ขาเดิน แต่ลอยแทน ดังนั้นกระดูกในช่วงส่วนขา สะโพก และกระดูกสันหลัง ทำให้นำไปสู่การแตกหักของกระดูก(Bone breakdown) และแคลเซียมแตกตัวออกมา และทำให้กระดูกมีสภาพเปราะและอ่อนแอ
นอกจากนี้ การที่แคลเซียมถูกปล่อยออกมาจากกระดูก อาจนำไปสู่การก่อให้เกิดโรคนิ่วในไต รวมไปถึงโรคกระดูกพรุนหลังจากนี้