(รวบรวมจาก ซินหวา/เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์)
Central Military Commission runs new multi-department system
12/01/2016
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังกระชับอำนาจในการควบคุมกิจการทางการทหาร ในวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา เขาประกาศยุบเลิก “กรมใหญ่” ทั้ง 4 ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน แล้วจัดตั้งหน่วยงานใหม่ 15 หน่วยงานขึ้นมาแทนที่ โดยที่ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2015 เขาเพิ่งปฏิรูปโครงสร้าง ให้กองทัพปลดแอกประชาชนจีนประกอบด้วย 5 กองทัพ
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังรวมศูนย์อำนาจใน “คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง” (Central Military Commission) มาไว้ที่ตนเองเพิ่มมากขึ้น ด้วยการประกาศยุบเลิกกองบัญชาการ (headquarters) หรือ กรมใหญ่ (General Department) ทั้ง 4 ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (People’s Liberation Army ใช้อักษรย่อว่า PLA) และจัดตั้งหน่วยงานใหม่ 15 หน่วยงานขึ้นมาแทนที่ ทั้งนี้ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ โดยอ้างความเห็นของนักวิเคราะห์ทางการทหารหลายราย (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.scmp.com/news/china/diplomacy-defence/article/1900493/chinese-military-overhaul-tighten-xi-jinpings-grip)
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกองทัพอย่างมโหฬารอีกครั้งของจีนคราวนี้มีขึ้นในวันที่ 11 มกราคม โดยมีการประกาศยุบเลิกกองบัญชาการ หรือ กรมใหญ่ ในสังกัดคณะกรรมการการทหารส่วนกลางทั้ง 4 อันได้แก่ กรมเสนาธิการใหญ่ (General Staff Department), กรมการเมืองใหญ่ (General Political Department), กรมพลาธิการใหญ่ (General Logistics Department), และกรมสรรพาวุธใหญ่ (General Armaments Department) แล้วแทนที่ด้วยหน่วยงานระดับกรม 7 กรม, คณะกรรมการ 3 คณะ, และสำนักงานอีก 5 สำนักงาน ตามรายงานของสำนักข่าวซินหวา ของทางการจีน
ทั้งนี้ 7 กรมประกอบด้วย กรมเสนาธิการร่วม (Joint Staff Department), กรมงานการเมือง (Political Work Department), กรมการสนับสนุนส่งกำลังบำรุง (Logistic Support Department), กรมการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ (Equipment Development Department), กรมการฝึกอบรมและการบริหาร (Training and Administration Department), กรมการระดมพลป้องกันประเทศ (National Defense Mobilization Department), และสำนักงานบริหารกลาง (General Office) ขณะที่คณะกรรมการ 3 ชุด ได้แก่ คณะกรรมการตรวจสอบวินัย (Discipline Inspection Commission), คณะกรรมการการเมืองและกิจการทางกฎหมาย (Politics and Legal Affairs Commission), และ คณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Commission) ส่วนอีก 5 สำนักงาน ได้แก่ สำนักงานเพื่อการวางแผนทางยุทธศาสตร์ (Office for Strategic Planning), สำนักงานเพื่อการปฏิรูปและโครงสร้างทางการจัดตั้ง (Office for Reform and Organizational Structure), สำนักงานเพื่อความร่วมมือทางทหารระหว่างประเทศ (Office for International Military Cooperation), สำนักงานสอบบัญชี (Audit Office), และ หน่วยงานเพื่อการบริหารสำนักงาน (Agency for Offices Administration) (ดูรายละเอียดได้ที่ http://english.cntv.cn/2016/01/12/VIDEEyYIkKD9SWlx0EPXdYuj160112.shtml และ วิกิพีเดีย https://en.wikipedia.org/wiki/Central_Military_Commission_%28China%29)
หน่วยงานใหม่ทั้ง 15 หน่วยงานเหล่านี้ จำนวนมากทีเดียวเคยอยู่ใต้การดูแลบังคับบัญชาของพวกกรมใหญ่ทั้ง 4 แต่บัดนี้จะขึ้นกับคณะกรรมการการทหารส่วนกลางโดยตรง
อู่ เชียน (Wu Qian) โฆษกกระทรวงกลาโหมจีน แถลงว่า หน่วยงานเหล่านี้จะกลายเป็น “องค์กรซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา, ปฏิบัติให้เป็นไปตามคำสั่ง, และให้บริการด้านต่างๆ แก่คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง”
ขณะที่ หนี่ เล่อสง (Ni Lexiong) นักวิเคราะห์ทางการทหารซึ่งพำนักอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ให้ความเห็นว่า การปรับโครงสร้างใหม่เช่นนี้ จะช่วยให้หน่วยงานเหล่านี้มุ่งโฟกัสทำงานตามความรับผิดชอบของพวกตน และปรับปรุงยกระดับความพร้อมสู้รบโดยองค์รวม
“การทำให้โครงสร้างทางทหารมีระดับชั้นลดน้อยลงเช่นนี้ สามารถทำให้การปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” เขาบอก
ไม่เหมือนกับประเทศส่วนใหญ่ กองทัพของประเทศจีน (ซึ่งก็คือ กองทัพปลดแอกประชาชนจีน) ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงกลาโหม แต่ผู้ที่บังคับบัญชาและควบคุมกองทัพ คือ คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง (ดูรายละเอียดได้ที่ วิกิพีเดีย https://en.wikipedia.org/wiki/Central_Military_Commission_%28China%29) โดยที่ประธานของคณะกรรมการทรงอำนาจอย่างยิ่งชุดนี้ ปกติแล้วคือ เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเวลานี้ สี จิ้นผิง ก็กุมตำแหน่งทั้ง 3 ตำแหน่งอยู่ในมือ
นักวิเคราะห์หลายรายชี้ว่า สี ได้แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิรูปเปลี่ยนแปลงกองทัพ ซึ่งนับว่าตรงกันข้ามกับ หู จิ่นเทา เลขาธิการใหญ่พรรคและประธานาธิบดีของจีนคนก่อนหน้าเขา ที่ตกอยู่ในสภาพเป็นประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางแต่เพียงในนาม จากฝีมือของรองประธานคณะกรรมการ 2 คน ซึ่งต่างเป็นคนที่ใกล้ชิดกับอดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน
ทั้งนี้ในรายงานข่าวอีกชิ้นหนึ่งก่อนหน้านี้ (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.scmp.com/news/china/article/1734663/hu-jintaos-weak-grip-chinas-army-inspired-president-xi-jinpings-military) เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ อ้างแหล่งข่าวทางทหารของจีนกล่าวว่า ตอนที่ สี ขึ้นเป็นรองประธานคนที่ 3 ของคณะกรรมการการทหารส่วนกลางคนที่ 3 ในปี 2010 เขาก็ได้พบเห็นด้วยตนเองว่า สีว์ ไฉโฮ่ว (Xu Caihou) และ กัว ป๋อสง (Gua Boxiong) รองประธานคณะกรรมการอีก 2 คน ดำเนินการอย่างไรจึงได้เข้ายึดครองกิจการต่างๆ ของกองทัพมาไว้ในกำมือ ชนิดกระทำใต้จมูกของ หู แท้ๆ
พวกนักเฝ้าจับตามองจีน (China watchers) ต่างสงสัยข้องใจกันมานานแล้วว่า หูกุมอำนาจในกองทัพเอาไว้ไม่ค่อยได้ เริ่มตั้งแต่กว่าที่เขาจะได้รับตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง สืบต่อจากอดีตประธานาธิบดีเจียง ก็ต้องรอถึงปี 2004 หรือ 2 ปีหลังจากเขาสืบทอดตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคต่อจากเจียงแล้ว แต่ถึงแม้ หู ขึ้นเป็นประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางแล้ว เจียงก็ยังคงมีรักษาอำนาจอิทธิพลเอาไว้ โดยผลักดันผู้ช่วยที่ไว้วางใจมากของเขา คือ สีว์ กับ กัว ให้กลายเป็นรองประธานของ หู
“สีว์ กับ กัว คือตัวแทนของเจียง พวกเขาทำให้ หู อยู่ในฐานะโดดเดี่ยว” นายทหารยศพันเอกอาวุโสที่เกษียณแล้วคนหนึ่งบอกกับเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์
เช่นเดียวกับ แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งซึ่งใกล้ชิดกับสถาบันวิทยาศาสตร์การทหารแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ก็กล่าวว่า “เจียงยังคงมีอำนาจอิทธิพลเหนือการตัดสินใจต่างๆ ทางการทหาร โดยอาศัยผ่าน สีว์ กับ กัว”
จากสิ่งที่ สี ได้พบเห็นในยุคของ หู ทำให้เมื่อเขาสืบทอดอำนาจต่อจาก หู ในปี 2012 เขาจึงทำให้แน่ใจได้ว่า เขาจะได้รับ 3 ตำแหน่งสำคัญทั้งหมด นั่นคือ เลขาธิการใหญ่พรรค, ประธานาธิบดี, และประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ในทันที แล้วต่อจากนั้นจึงเปิดฉากการรณรงค์ต่อต้านกวาดล้างการคอร์รัปชั่นอย่างขนานใหญ่ รวมทั้งในกองทัพ
ปี 2014 ทั้ง สีว์ และ กัว ถูกสอบสวนข้อหาคอร์รัปชั่น และถูกขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ทำให้ สีว์ กลายเป็นนายพลอาวุโสที่สุดของกองทัพที่ถูกสอบสวนเรื่องรับสินบน อย่างไรก็ดี ขณะที่จะต้องขึ้นศาลทหาร เขาได้เสียชีวิตโดยโรคมะเร็งในปี 2015 และหลังจากนั้นคดีทั้งหมดก็ถูกถอนฟ้องไป ส่วนสำหรับ กัว เวลานี้ยังคงอยู่ระหว่างการถูกสอบสวน
ในวันที่ 11 มกราคม 2016 ซึ่งมีการประกาศยุบ 4 กรมใหญ่ และจัดตั้ง 15 หน่วยงานใหม่เข้าแทนที่นั้น สี จิ้นผิง ได้พบปะกับผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานใหม่เหล่านี้ และกล่าวปราศรัยว่า การปรับปรุงคราวนี้เป็น “การผ่าทางตัน” และเป็น “ก้าวสำคัญยิ่งยวด” ที่จะไปสู่กองทัพซึ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมกับเรียกร้องให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานเหล่านี้เคารพเชื่อฟังอย่างมั่นคงในพรรคคอมมิวนิสต์จีน และคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง
สี ยังเรียกร้องให้ทำตามประเพณีอันมีเกียรติของกองทัพ และกระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานอย่างแข็งขันและริเริ่มสร้างสรรค์ พร้อมกับเตือนว่า จะต้องเก็บรับบทเรียนจากคดีคอร์รัปชั่นของ กัว และสีว์ และมีจุดยืนอันชัดเจนในเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชั่น
ก่อนหน้าการยุบ 4 กรมใหญ่ และแต่งตั้ง 15 หน่วยงานใหม่เข้าแทนที่นี้ สี ได้เริ่มต้นดำเนินการปฏิรูปกองทัพอย่างขนานใหญ่เป็นก้าวแรกในวันที่ 31 ธันวาคม 2015 โดยประกาศจัดตั้งหน่วยงานระดับกองทัพขึ้นมา 3 หน่วย ได้แก่กองบัญชาการของกองทัพบก, กองกำลังจรวด, และกองกำลังสนับสนุนทางยุทธศาสตร์ ทำให้เมื่อรวมกับอีก 2 กองทัพ คือ กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ บัดนี้ กองทัพปลดแอกประชาชนจีน จึงประกอบด้วยหน่วยงานระดับกองทัพรวม 5 กองทัพ (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000006563)
Central Military Commission runs new multi-department system
12/01/2016
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังกระชับอำนาจในการควบคุมกิจการทางการทหาร ในวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา เขาประกาศยุบเลิก “กรมใหญ่” ทั้ง 4 ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน แล้วจัดตั้งหน่วยงานใหม่ 15 หน่วยงานขึ้นมาแทนที่ โดยที่ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2015 เขาเพิ่งปฏิรูปโครงสร้าง ให้กองทัพปลดแอกประชาชนจีนประกอบด้วย 5 กองทัพ
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังรวมศูนย์อำนาจใน “คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง” (Central Military Commission) มาไว้ที่ตนเองเพิ่มมากขึ้น ด้วยการประกาศยุบเลิกกองบัญชาการ (headquarters) หรือ กรมใหญ่ (General Department) ทั้ง 4 ของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน (People’s Liberation Army ใช้อักษรย่อว่า PLA) และจัดตั้งหน่วยงานใหม่ 15 หน่วยงานขึ้นมาแทนที่ ทั้งนี้ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ โดยอ้างความเห็นของนักวิเคราะห์ทางการทหารหลายราย (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.scmp.com/news/china/diplomacy-defence/article/1900493/chinese-military-overhaul-tighten-xi-jinpings-grip)
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกองทัพอย่างมโหฬารอีกครั้งของจีนคราวนี้มีขึ้นในวันที่ 11 มกราคม โดยมีการประกาศยุบเลิกกองบัญชาการ หรือ กรมใหญ่ ในสังกัดคณะกรรมการการทหารส่วนกลางทั้ง 4 อันได้แก่ กรมเสนาธิการใหญ่ (General Staff Department), กรมการเมืองใหญ่ (General Political Department), กรมพลาธิการใหญ่ (General Logistics Department), และกรมสรรพาวุธใหญ่ (General Armaments Department) แล้วแทนที่ด้วยหน่วยงานระดับกรม 7 กรม, คณะกรรมการ 3 คณะ, และสำนักงานอีก 5 สำนักงาน ตามรายงานของสำนักข่าวซินหวา ของทางการจีน
ทั้งนี้ 7 กรมประกอบด้วย กรมเสนาธิการร่วม (Joint Staff Department), กรมงานการเมือง (Political Work Department), กรมการสนับสนุนส่งกำลังบำรุง (Logistic Support Department), กรมการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ (Equipment Development Department), กรมการฝึกอบรมและการบริหาร (Training and Administration Department), กรมการระดมพลป้องกันประเทศ (National Defense Mobilization Department), และสำนักงานบริหารกลาง (General Office) ขณะที่คณะกรรมการ 3 ชุด ได้แก่ คณะกรรมการตรวจสอบวินัย (Discipline Inspection Commission), คณะกรรมการการเมืองและกิจการทางกฎหมาย (Politics and Legal Affairs Commission), และ คณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Commission) ส่วนอีก 5 สำนักงาน ได้แก่ สำนักงานเพื่อการวางแผนทางยุทธศาสตร์ (Office for Strategic Planning), สำนักงานเพื่อการปฏิรูปและโครงสร้างทางการจัดตั้ง (Office for Reform and Organizational Structure), สำนักงานเพื่อความร่วมมือทางทหารระหว่างประเทศ (Office for International Military Cooperation), สำนักงานสอบบัญชี (Audit Office), และ หน่วยงานเพื่อการบริหารสำนักงาน (Agency for Offices Administration) (ดูรายละเอียดได้ที่ http://english.cntv.cn/2016/01/12/VIDEEyYIkKD9SWlx0EPXdYuj160112.shtml และ วิกิพีเดีย https://en.wikipedia.org/wiki/Central_Military_Commission_%28China%29)
หน่วยงานใหม่ทั้ง 15 หน่วยงานเหล่านี้ จำนวนมากทีเดียวเคยอยู่ใต้การดูแลบังคับบัญชาของพวกกรมใหญ่ทั้ง 4 แต่บัดนี้จะขึ้นกับคณะกรรมการการทหารส่วนกลางโดยตรง
อู่ เชียน (Wu Qian) โฆษกกระทรวงกลาโหมจีน แถลงว่า หน่วยงานเหล่านี้จะกลายเป็น “องค์กรซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา, ปฏิบัติให้เป็นไปตามคำสั่ง, และให้บริการด้านต่างๆ แก่คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง”
ขณะที่ หนี่ เล่อสง (Ni Lexiong) นักวิเคราะห์ทางการทหารซึ่งพำนักอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ให้ความเห็นว่า การปรับโครงสร้างใหม่เช่นนี้ จะช่วยให้หน่วยงานเหล่านี้มุ่งโฟกัสทำงานตามความรับผิดชอบของพวกตน และปรับปรุงยกระดับความพร้อมสู้รบโดยองค์รวม
“การทำให้โครงสร้างทางทหารมีระดับชั้นลดน้อยลงเช่นนี้ สามารถทำให้การปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” เขาบอก
ไม่เหมือนกับประเทศส่วนใหญ่ กองทัพของประเทศจีน (ซึ่งก็คือ กองทัพปลดแอกประชาชนจีน) ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกระทรวงกลาโหม แต่ผู้ที่บังคับบัญชาและควบคุมกองทัพ คือ คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง (ดูรายละเอียดได้ที่ วิกิพีเดีย https://en.wikipedia.org/wiki/Central_Military_Commission_%28China%29) โดยที่ประธานของคณะกรรมการทรงอำนาจอย่างยิ่งชุดนี้ ปกติแล้วคือ เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเวลานี้ สี จิ้นผิง ก็กุมตำแหน่งทั้ง 3 ตำแหน่งอยู่ในมือ
นักวิเคราะห์หลายรายชี้ว่า สี ได้แสดงให้เห็นความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิรูปเปลี่ยนแปลงกองทัพ ซึ่งนับว่าตรงกันข้ามกับ หู จิ่นเทา เลขาธิการใหญ่พรรคและประธานาธิบดีของจีนคนก่อนหน้าเขา ที่ตกอยู่ในสภาพเป็นประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางแต่เพียงในนาม จากฝีมือของรองประธานคณะกรรมการ 2 คน ซึ่งต่างเป็นคนที่ใกล้ชิดกับอดีตประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน
ทั้งนี้ในรายงานข่าวอีกชิ้นหนึ่งก่อนหน้านี้ (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.scmp.com/news/china/article/1734663/hu-jintaos-weak-grip-chinas-army-inspired-president-xi-jinpings-military) เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ อ้างแหล่งข่าวทางทหารของจีนกล่าวว่า ตอนที่ สี ขึ้นเป็นรองประธานคนที่ 3 ของคณะกรรมการการทหารส่วนกลางคนที่ 3 ในปี 2010 เขาก็ได้พบเห็นด้วยตนเองว่า สีว์ ไฉโฮ่ว (Xu Caihou) และ กัว ป๋อสง (Gua Boxiong) รองประธานคณะกรรมการอีก 2 คน ดำเนินการอย่างไรจึงได้เข้ายึดครองกิจการต่างๆ ของกองทัพมาไว้ในกำมือ ชนิดกระทำใต้จมูกของ หู แท้ๆ
พวกนักเฝ้าจับตามองจีน (China watchers) ต่างสงสัยข้องใจกันมานานแล้วว่า หูกุมอำนาจในกองทัพเอาไว้ไม่ค่อยได้ เริ่มตั้งแต่กว่าที่เขาจะได้รับตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง สืบต่อจากอดีตประธานาธิบดีเจียง ก็ต้องรอถึงปี 2004 หรือ 2 ปีหลังจากเขาสืบทอดตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคต่อจากเจียงแล้ว แต่ถึงแม้ หู ขึ้นเป็นประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางแล้ว เจียงก็ยังคงมีรักษาอำนาจอิทธิพลเอาไว้ โดยผลักดันผู้ช่วยที่ไว้วางใจมากของเขา คือ สีว์ กับ กัว ให้กลายเป็นรองประธานของ หู
“สีว์ กับ กัว คือตัวแทนของเจียง พวกเขาทำให้ หู อยู่ในฐานะโดดเดี่ยว” นายทหารยศพันเอกอาวุโสที่เกษียณแล้วคนหนึ่งบอกกับเซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์
เช่นเดียวกับ แหล่งข่าวอีกรายหนึ่งซึ่งใกล้ชิดกับสถาบันวิทยาศาสตร์การทหารแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ก็กล่าวว่า “เจียงยังคงมีอำนาจอิทธิพลเหนือการตัดสินใจต่างๆ ทางการทหาร โดยอาศัยผ่าน สีว์ กับ กัว”
จากสิ่งที่ สี ได้พบเห็นในยุคของ หู ทำให้เมื่อเขาสืบทอดอำนาจต่อจาก หู ในปี 2012 เขาจึงทำให้แน่ใจได้ว่า เขาจะได้รับ 3 ตำแหน่งสำคัญทั้งหมด นั่นคือ เลขาธิการใหญ่พรรค, ประธานาธิบดี, และประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ในทันที แล้วต่อจากนั้นจึงเปิดฉากการรณรงค์ต่อต้านกวาดล้างการคอร์รัปชั่นอย่างขนานใหญ่ รวมทั้งในกองทัพ
ปี 2014 ทั้ง สีว์ และ กัว ถูกสอบสวนข้อหาคอร์รัปชั่น และถูกขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ทำให้ สีว์ กลายเป็นนายพลอาวุโสที่สุดของกองทัพที่ถูกสอบสวนเรื่องรับสินบน อย่างไรก็ดี ขณะที่จะต้องขึ้นศาลทหาร เขาได้เสียชีวิตโดยโรคมะเร็งในปี 2015 และหลังจากนั้นคดีทั้งหมดก็ถูกถอนฟ้องไป ส่วนสำหรับ กัว เวลานี้ยังคงอยู่ระหว่างการถูกสอบสวน
ในวันที่ 11 มกราคม 2016 ซึ่งมีการประกาศยุบ 4 กรมใหญ่ และจัดตั้ง 15 หน่วยงานใหม่เข้าแทนที่นั้น สี จิ้นผิง ได้พบปะกับผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานใหม่เหล่านี้ และกล่าวปราศรัยว่า การปรับปรุงคราวนี้เป็น “การผ่าทางตัน” และเป็น “ก้าวสำคัญยิ่งยวด” ที่จะไปสู่กองทัพซึ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมกับเรียกร้องให้ผู้บังคับบัญชาหน่วยงานเหล่านี้เคารพเชื่อฟังอย่างมั่นคงในพรรคคอมมิวนิสต์จีน และคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง
สี ยังเรียกร้องให้ทำตามประเพณีอันมีเกียรติของกองทัพ และกระตุ้นให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานอย่างแข็งขันและริเริ่มสร้างสรรค์ พร้อมกับเตือนว่า จะต้องเก็บรับบทเรียนจากคดีคอร์รัปชั่นของ กัว และสีว์ และมีจุดยืนอันชัดเจนในเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชั่น
ก่อนหน้าการยุบ 4 กรมใหญ่ และแต่งตั้ง 15 หน่วยงานใหม่เข้าแทนที่นี้ สี ได้เริ่มต้นดำเนินการปฏิรูปกองทัพอย่างขนานใหญ่เป็นก้าวแรกในวันที่ 31 ธันวาคม 2015 โดยประกาศจัดตั้งหน่วยงานระดับกองทัพขึ้นมา 3 หน่วย ได้แก่กองบัญชาการของกองทัพบก, กองกำลังจรวด, และกองกำลังสนับสนุนทางยุทธศาสตร์ ทำให้เมื่อรวมกับอีก 2 กองทัพ คือ กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ บัดนี้ กองทัพปลดแอกประชาชนจีน จึงประกอบด้วยหน่วยงานระดับกองทัพรวม 5 กองทัพ (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000006563)