เอเจนซีส์ - นายกรัฐมนตรีอิรักประกาศเผด็จศึกปราบปรามกลุ่มไอเอสให้ราบคาบในปีหน้า หลังจากกองกำลังฝ่ายรัฐบาลได้ชัยชนะใหญ่ครั้งแรกในรอบระยะเวลา 18 เดือน ด้วยการเข้ายึดเมืองรอมาดี เมืองเอกของจังหวัดอันบาร์กลับคืนมาได้ พร้อมกับระบุว่าเป้าหมายต่อไปคือการชิงโมซุล เมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศซึ่งตกอยู่ในกำมือของไอเอสมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2014
กองกำลังรัฐบาลอิรักพากันติดธงชาติบนอาคารศูนย์ราชการหลักในเมืองรอมาดี เมืองเอกของจังหวัดอันบาร์ ที่อยู่ห่างออกไปราว 100 กิโลเมตรทางด้านตะวันตกของกรุงแบกแดด เมื่อเช้าวันจันทร์ (28 ธ.ค.) ภายหลังประกาศว่า รัฐบาลสามารถยึดเมืองนี้คืนจากกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้สำเร็จ
ต่อมาในวันเดียวกัน นายกรัฐมนตรีไฮเดอร์ อัล-อบาดี กล่าวปราศรัยที่มีการถ่ายทอดทางทีวีว่า ปี 2016 จะเป็นปีแห่งชัยชนะครั้งใหญ่และครั้งสุดท้าย และไอเอสจะถูกกำจัดสิ้นซากจากแผ่นดินอิรัก โดยเป้าหมายต่อจากรอมาดีคือการปลดปล่อยโมซุล เมืองสำคัญที่สุดทางภาคเหนือของประเทศ
ทั้งนี้ การชิงเมืองรอมาดีคืนมาได้ถือเป็นหลักชัยสำคัญของกองทัพอิรักที่อเมริกาช่วยฝึกฝนให้ หลังจากปราชัยยับเยินต่อไอเอสที่ยกกำลังเข้าโจมตีบริเวณภาคเหนือของอิรักตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2014 ซึ่งนับจากนั้น กองทหารอิรักทำหน้าที่เพียงสนับสนุนเคียงข้างกองกำลังนักรบท้องถิ่นชาวชีอะต์ที่อิหร่านสนับสนุนเป็นหลักเท่านั้น
ทางด้านทำเนียบขาวแถลงในวันเดียวกันว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ซึ่งอยู่ระหว่างการพักผ่อนตากอากาศเนื่องในเทศกาลคริสตมาสกับครอบครัวที่ฮาวาย ได้รับรายงานเรื่องยึดเมืองรอมาดีแล้ว และกล่าวยกย่องว่า ความสำเร็จดังกล่าวเป็นข้อพิสูจน์ถึงความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของกองกำลังอิรัก รวมทั้งความมุ่งมั่นของกลุ่มพันธมิตรในการขับไล่ไอเอส
ขณะที่ แอช คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ขานรับว่า การขับไล่ไอเอสเป็นก้าวย่างสำคัญในการกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายนี้ และสำทับว่า สิ่งสำคัญสำหรับแบกแดดคือ การฉวยโอกาสนี้ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในรอมาดี ป้องกันไม่ให้ไอเอสหรือกลุ่มหัวรุนแรงอื่นๆ กลับเข้ามายึดครอง รวมทั้งต้องช่วยเหลือพลเมืองคืนกลับถิ่นฐาน
สำหรับประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์ของฝรั่งเศส ระบุว่า การปลดปล่อยรอมาดีเป็นชัยชนะสำคัญที่สุดเหนือไอเอส
แฟรงก์-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี เห็นด้วยว่า ชัยชนะในรอมาดีตอกย้ำว่า ไอเอสไม่ใช่กลุ่มก่อการร้ายที่แพ้ไม่เป็น
ความสำเร็จในรอมาดีมีขึ้นหลังจากอิรักสามารถยึดเมืองไบจี ทางเหนือของแบกแดด และซินจาร์ ถิ่นฐานของชนกลุ่มน้อยยาซิดี ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศคืนมาได้
การชิงเมืองรอมาดีคราวนี้ กองทัพอิรักเป็นกำลังแกนนำ ขณะที่กลุ่มนักรบชีอะต์ที่เคยรับบทเด่นในสนามรบอื่นๆ ลดบทบาทลงเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อต้านจากประชาชนในเมืองดังกล่าวซึ่งส่วนใหญ่นับถือนิกายสุหนี่ นอกจากนั้นยังเป็นเพราะวอชิงตันแสดงอาการลังเลในการร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับนักรบชีอะต์ที่มีเตหะรานหนุนหลัง
สำหรับไอเอสนั้น เป็นนักรบสุหนี่หัวรุนแรงที่ถือว่ามุสลิมชีอะต์เป็นพวกนอกรีต ไอเอสเข้ายึดครองพื้นที่กว้างขวางทั้งในอิรักและซีเรียตั้งแต่กลางปีที่แล้ว และประกาศก่อตั้งรัฐอิสลามเพื่อปกครองชาวมุสลิมในสองประเทศดังกล่าว โดยที่มีการสังหารผู้คนไปมากมาย
นับจากนั้น มหาอำนาจในภูมิภาคและระดับโลกก็เข้าร่วมสงครามปราบไอเอสทั้งในอิรักและซีเรีย ซึ่งบ่อยครั้งเข้าร่วมกับพันธมิตรภาคพื้นดินในสงครามกลางเมืองหลายด้าน
รัฐบาลของอบาดีนั้นมีแผนส่งมอบเมืองรอมาดีคืนให้สำนักงานตำรวจและกองกำลังสุหนี่ท้องถิ่น หลังจากฟื้นความสงบเรียบร้อยแล้ว เพื่อกระตุ้นให้ชาวสุหนี่ลุกขึ้นมาต่อต้านไอเอส
กลยุทธ์ดังกล่าวอาจสะท้อนปฏิบัติการทางทหารของอเมริกาในปี 2006-2007 ที่เรียกว่า "surge” (การเพิ่มขึ้นฉับพลัน) ซึ่งมีการระดมนักรบชนเผ่าที่เป็นสุหนี่และติดอาวุธเพื่อให้ต่อสู้กับกลุ่มนักรบญิฮัดที่ในเวลาต่อมาพัฒนาเป็นไอเอส โดยที่จังหวัดอันบาร์ ซึ่งรวมถึงเมืองรอมาดีด้วย เป็นพื้นที่เป้าหมายของปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่อเมริกายังยึดครองอิรักอยู่